ผู้เขียน หัวข้อ: ติดเชื้อไวรัส HPV ทั้งที่มีแฟนคนเดียวมาทั้งชีวิต'  (อ่าน 1393 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์


เราอยากจะย้ำกับผู้หญิงทุกคนอีกครั้ง หลังจากได้ไปคุยกับ “มล” ผู้หญิงสวย เก่ง เธอเรียนจบด็อกเตอร์ มีชีวิตที่พร้อมทุกด้าน ตลอดชีวิตมลมีแฟนคนเดียว และวันนี้เขาก็คือสามีของเธอ หลังแต่งงานได้เกือบ 10 ปี มลถึงได้รู้ว่าตัวเองได้รับเชื้อ HPV ที่อาจพัฒนาจนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูก ทั้งที่เธอไม่มีความเสี่ยงอะไรสักนิดเดียว 
 
คุณก็ติดเชื้อ HPV ได้ถ้า…

-เขาไม่ได้มีเซ็กซ์กับคุณคนเดียว

-เขาเที่ยวผู้หญิง


-เขามีเซ็กซ์แบบไม่ป้องกัน


-เขาไม่เคยรู้ว่าตัวเองมีเชื้อไวรัส HPV

-เขาเป็นหูดหงอนไก่

-เขามีเซ็กซ์ระหว่างมีประจำเดือนกับคุณ

-คุณไม่ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV 
ฯลฯ

“มล” เรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก และเป็นผู้หญิงที่รักเดียวใจเดียว เธอเคยแอบรักหนุ่มเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งตั้งแต่เรียนมัธยมต้น เวลาผ่านไปจน 10 ปี และแล้วลมก็พัดหวนทำให้มาเจอผู้ชายที่เธอเคยแอบรักอีกที ตอนเธอเรียนปริญญาเอกที่เมืองนอก และการพบกันครั้งนี้ก็กลายเป็นเรื่องราวมากมายที่เกือบเปลี่ยนทั้งชีวิตของเธอ

รักฝังใจตั้งแต่เด็ก

เธอกับเขาเจอกันเพราะเขาบินข้ามรัฐมาหา ให้เธอช่วยเขาทำรายงานให้ เธอว่าง ทั้งเต็มใจ และรายงานชิ้นนั้นหมูมากสำหรับเธอ แล้วทั้งคู่ก็เป็นแฟนกัน แต่คบกันไม่นานเธอก็แอบรู้ว่าเขามีผู้หญิงคนอื่น เขาอีเมล์หาผู้หญิงคนอื่นในคืนที่อยู่กับเธอ เธอขอเลิกเด็ดขาด แต่เขาง้อสุดใจจนเธอใจอ่อน หลังจากนั้นก็ทำให้เธอค้นพบว่า จากลูกคุณหนูแบบเขา ตอนนี้กลายเป็นอีกคน เธอต้องช่วยพาเขาหนีตำรวจ ต้องช่วยเขาออกจากแก๊งค้ายา ยอมขับรถข้ามคืนไปชิงตัวเขาออกมาจากเมืองนรก ช่วยให้เขาเลิกยา และทำทุกทางให้เขามีชีวิตใหม่ที่เมืองไทยให้ได้ แต่พอเขากลับถึงเมืองไทย คนแรกที่เขาไปหาคือผู้หญิงคนอื่น!!!
 
เซ็กซ์ครั้งเดียวกับเขา ทำให้เธอ “ท้อง”

หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ตอนเธอกลับมาเมืองไทย เพราะเขาบอกว่าจะบวช อยากเปลี่ยนเป็นคนใหม่ เธอถึงรู้ตัวว่า “ท้อง” เธอโทรบอกเขา คำแรกที่เขาพูดคือ “ว่าแล้ว” เธอย้อนกลับไปคิดทันทีว่าต้องเป็นครั้งแรกที่เธอมีอะไรกับเขาแบบไม่ตั้งใจแน่ๆ (น้ำองุ่นแดงเป็นเหตุ) คิดได้แค่นี้เธอก็นั่งร้องไห้อยู่คนเดียว “สุดท้ายเขาไปกราบเท้าแม่เขา สารภาพว่าทำเราท้อง อีกหลายวันผ่านไปเขาโทรมาบอกว่าโอเค เราแต่งงานกัน แต่เขาไม่เคยบอกรักเราเลยนะ เหมือนเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เราคิดว่าถ้าเลือกได้เขาคงไม่อยากแต่งงานกับเราก็ได้ เพราะใจจริงแล้วเราเองก็ไม่ต้องการสามีที่เที่ยวผู้หญิงและมั่วหญิงแบบนี้”
 
ถึงแต่งงาน เขาก็ยังมีคนอื่นเรื่อยๆ

ตอนมลท้องได้ 5 เดือน เขายังไปเที่ยวผู้หญิง ก็บอกเขาว่ารับไม่ได้นะ โรคมันเยอะ สกปรก เธอจะเอาโรคมาติดฉัน สัญญาได้ไหม เขาก็บอกว่า “ก็ได้” แต่ก็เป็นสัญญาปากเปล่าเหมือนเคย!!!  แต่เพราะรักลูกเธอเลยทำได้แค่ปิดหูปิดตามาโดยตลอด หลังคลอดลูกได้ไม่ถึงปีเธอต้องกลับไปเรียนต่อให้จบ หนึ่งปีนั้นเป็นช่วงเวลาพิสูจน์รักจากเขาด้วย “ใกล้กลับเมืองไทยจริงๆ เราก็บอกเขาว่า เรารู้สึกว่าเธอไม่ได้รักฉัน ฉันไม่อยู่ เธอก็ไปเที่ยวกลางคืน ไปเที่ยวกับผู้หญิงคนนั้นคนนี้ เรารับไม่ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น พอลูกโตได้สองขวบแม่เราก็เสีย ตอนนั้นเหมือนเป็นบ้า ไม่อยากคุยกับใคร ไม่อยากทำงาน ขออยู่นิ่งๆ แล้วก็ร้องไห้ เป็นอยู่เกือบปี จนมาเจอธรรมะ มีคนเอาหนังสือมาให้เราอ่าน ทำให้เราได้คิดว่า ทำไมเราทำชีวิตตัวเองเหมือนถังขยะ คนที่อยู่รอบตัวเขาก็ไม่อยากเจอหรอกถังขยะ เราก็กลับมาเป็นคนใหม่ ลูกคนโตบอกอยากมีน้อง พ่อก็จัดให้ แล้วก็ติดจริงๆ แต่ตอนท้องลูกคนเล็กได้ 7 เดือน เราก็สังหรณ์ว่า เขาไปเที่ยวผู้หญิง แล้วก็เป็นความจริงอีกแล้ว!!!
 
ผ่านไปเกือบ 10 ปี จากเซ็กซ์ครั้งแรกกับเขา

หลังคลอดลูกคนที่สองนี่เอง เธอก็มัวยุ่งแต่กับลูกๆ จนผิดนัดไม่ได้ไปตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกประจำปี หรือที่เรียกว่า แปปสเมียร์ (Pap Smear Test) แล้วเกือบ 1 ปี จากวันนั้นก็นึกได้ ก็เลยไปตรวจ Pap Smear Test ตามที่คุณหมอทำคลอดเคยเน้นย้ำไว้ว่า เว้นไม่ได้แม้แต่ปีเดียว หลังจากได้ตรวจ เจ้าหน้าที่โทรมาบอกผลว่า เซลล์ของคุณที่ปากมดลูกผิดปกติ จะนัดคุณหมอให้ด่วน “แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมบอกว่าเป็นอะไร รู้แค่ว่าจะนัดให้ด่วนที่สุด แต่พอไปตรวจต้องรอผลอีกสองอาทิตย์ เราอดใจรอขนาดนั้นไม่ไหว เลยโทรถามเพื่อนว่ามีอาจารย์หมอคนไหนเก่งๆ บ้าง ผลตรวจคือ เซลล์ที่ปากมดลูกผิดปกติ แต่ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร หมอก็บอกว่าใจเย็นๆ ให้ตรวจเพิ่มก่อนว่าได้มีการติดเชื้อไวรัส HPV ไหม”
     

หลังตรวจผลก็คือ เธอติดเชื้อไวรัส HPV จริงๆ “ตอนนั้นหน้าเขาลอยขึ้นมาเลย แต่คุณหมอบอกว่า เราอาจมีเชื้อมาก่อนก็ได้ เราก็ถามหมอกลับไปว่า…ไหนหมอบอกว่าติดได้ทางเพศสัมพันธ์อย่างเดียวไงคะ หมอเลยซักประวัติเรา ถามเราว่ามีเซ็กซ์ครั้งแรกอายุเท่าไร เคยผ่านผู้ชายมากี่คน เราก็บอกคนเดียว ไม่มีพฤติกรรมสำส่อนค่ะ ทั้งชีวิตมีแฟนมาหลายคน แต่ไม่เคยมีอะไรกัน ถ้ามีเซ็กซ์ก็มีกับสามีคนเดียว ไม่ได้มั่ว ไม่ได้สูบบุหรี่ด้วย หมอบอกว่าช่วงนี้ให้เราดูแลตัวเองดีๆ ให้เราทานผักใบเขียวเยอะๆ ห้ามสูบบุหรี่ หรืออยู่ใกล้คนที่สูบบุหรี่ (ถึงสามีจะแอบไปสูบบุหรี่ที่อื่นไม่ได้สูบต่อหน้า แต่ก็จะมีสารพิษจากควันที่ติดเสื้อผ้า ติดผิวหนังมาก สารพิษเหล่านี้ก็ทำให้เธอมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคร้ายแรงขึ้นได้) พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่เครียด เราบอกหมอไปว่าจะไม่เครียดได้ไงก็คิดเรื่องนี้อยู่ หมอก็บอกว่าไม่ได้นะ เราก็ร้องไห้เลย พอกลับบ้านบอกเขาว่า เราติดเชื้อไวรัส HPV เขาตบไหล่เราสองแปะแล้วไปหาลูก (ไม่แม้แต่จะกอดเพื่อปลอบใจ) แต่เราบอกเขาว่าครั้งหน้าคุณหมอให้เขาไปด้วย เขาก็โอเค” 


เพราะลูกทำให้เธอยอม “สู้”
 
ผลตรวจยืนยันว่า ร่างกายเธอเคยได้รับเชื้อไวรัส HPV มาก่อนหน้านี้ และร่างกายเธอสร้างภูมิกำจัดเชื้อไวรัส HPV ออกไปเอง 2-3 ครั้งแล้ว แต่พอร่างกายอ่อนแอเชื้อไวรัสที่มีอยู่ในร่างกายก็จะกลับมาทำร้ายเราอีก “หมอบอกว่าเป็นรอยโรคเก่า ไม่ใช่ครั้งแรก ช่วงนี้ร่างกายเราอ่อนแอเชื้อก็จะกลับมาโจมตีเรา ถ้ามีอะไรกันแล้วเกิดเนื้อเยื่อบุฉีกขาด เชื้อจะฝังตัวในระดับเซลล์ เมื่อไหร่ที่ร่างกายอ่อนแอก็จะแย่ลง เนื้อเยื่อเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่ดี พอมันพัฒนาปุ๊บทีนี้จะมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งในเวลาต่อมาได้ แล้วหมอก็ขอความร่วมมือจากสามีว่า ขอให้ลดละเลิกสูบบุหรี่ ถ้าอยากให้เราหาย เขาต้องเลิกบุหรี่ เพราะตัวเขาก็เป็นพาหะนำโรคมีเชื้อไวรัส HPV อยู่ (เพราะคนที่สูบบุหรี่เปรียบเสมือนคนที่มีกาวที่จะจับเชื้อไวรัส HPV ไว้กับตัวเขาได้มากกว่าคนอื่น และคนที่เป็น Second Hand Smoker ก็จะเหมือนคนสูบเอง เพราะจะเหมือนมีกาวคอยจับเชื้อ HPV ไว้ได้มากกว่าคนอื่นเช่นกัน)
 
หมอบอกว่าอย่าใช้หมอฟรี ถ้าคนไข้กับคนรอบตัวคนไข้ไม่ร่วมมือด้วยก็ไม่มีประโยชน์ เขาก็บอกว่าจะพยายาม แต่พอกลับมาบ้านไม่เห็นพูดอะไร เราเลยเปิดใจคุยกัน เขาก็อธิบายถูกทุกอย่างตามที่หมออธิบายนะ แต่เขาก็ยังสูบบุหรี่เป็นว่าเล่น เขาก็บอกว่าเราพูดง่าย แต่เขาทำยากนี่ เขาสูบบุหรี่มาตั้งแต่เด็กๆ ก่อนที่เราจะแต่งงานกัน เราฟังแล้วเจ็บปวดนะ แล้วเราก็ถามว่า รู้ไหมว่าเราติดโรคนี้เพราะใคร เขาบอกไม่รู้ เราบอกว่าโรคนี้ติดทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น ฉันไม่ได้ไปนอนกับใคร เขาชี้หน้าเราแล้วพูดว่า รู้ได้ไงว่าติดมาจากฉัน เหมือนเราโดนตบหน้าอย่างแรง ถ้าเราเป็นผู้ชายเราคงชกหน้าเขาไปแล้ว เราโกรธมาก แต่พูดกันยังไม่ทันจบดี ก็ต้องพาลูกไปแอดมิดที่โรงพยาบาลตอนตีสอง”


ต้องรักษาทุกทาง และช่วยคนอื่นด้วย

ช่วงนั้นเธอศึกษาข้อมูลไวรัส HPV ทุกทาง แล้วก็ค้นพบว่า “ผู้ชายเป็นพาหะนำโรคแต่ไม่แสดงอาการ ติดแล้วไม่เป็นไร แต่ผู้หญิงติดเชื้อไวรัส HPV แล้วพัฒนาจนกลายเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ภรรยาส่วนใหญ่ก็ไม่เคยรู้หรอกว่า สามีเคยนอนกับใครมาบ้าง และได้เอาเชื้อโรคอะไรติดตัวมาฝากบ้าง เพราะบางโรคมันเป็นโรคเงียบ (Silent Disease)  ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวว่า ต้องให้ความรู้คนอื่น จะหายไม่หายไม่รู้ จะตายเมื่อไรไม่รู้ แต่จะต้องทำให้ชีวิตัวเองให้มีค่ามากที่สุดก่อนตาย จะทำทุกวิถีทางที่จะให้ความรู้กับผู้หญิง ให้ผู้หญิงได้ตระหนักรู้ถึงความร้ายกาจของเชื้อไวรัส HPV และวิธีป้องกันตัวเอง เพราะโรคมะเร็งปากมดลูก ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม แต่เกิดจากเชื้อไวรัส HPV เท่านั้น” 
สุดท้ายหลังทั้งคู่ยอมลดทิฐิ เปิดใจคุยกับจิตแพทย์ ก็เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น และตอนหลังคุณหมอก็เรียกสามีเธอเข้าไปตรวจร่างกาย เพราะเขาบอกว่ามีติ่งเล็กๆ ที่คิดว่าเป็นกระเนื้อแล้วจี้ออกตั้งแต่ตอนอยู่เมืองนอก แต่ก็ขึ้นใหม่ตลอด จนเขาสงสัย “คุณหมอบอกว่าใช่แล้วค่ะ นี่คือหูดหงอนไก่ หมอสั่งว่าห้ามนอนกับภรรยาเด็ดขาดจนกว่าจะหาย เพราะเขาเป็นที่อัณฑะ” 
 

ทุกวันนี้เธอเขียนบล็อกให้ผู้หญิงทุกคนระวังตัว “เราไม่แคร์หรอกว่าจะต้องบอกคนอื่นว่าเราเป็นอะไร อย่างตอนแรกที่เราคุยเรื่องนี้ใครๆ ก็คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอเราบอกว่า ตัวเรานี่แหละติดเชื้อ HPV นะ คนอื่น เช่น รุ่นน้อง เพื่อนๆ ก็กล้าเปิดใจว่า เขาก็ติดเชื้อนี้เหมือนกัน แต่ไม่มีใครกล้าบอก เราก็บอกว่าจะอายทำไม ถ้าฉันสำส่อนสิจะอาย แต่นี่คนเข้าใจผิดกันว่า คนติดเชื้อไวรัส HPV เกิดจากสำส่อน เปลี่ยนคู่นอนหลายๆ คน จริงๆ แล้วไม่จำเป็น เราอาจตกเป็นผู้โชคร้ายจากโรคที่ระคายเคืองเล็กๆ น้อยๆ จนถึงโรคมะเร็งที่ปลิดชีวิตเราได้ อย่าคิดว่าผู้ชายที่ดูท่าทางสะอาดสะอ้านจะไม่นำโรคร้ายมาฝาก” 
เพราะกำลังใจที่ดีมาก และการเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกิน สภาพจิตใจ การออกกำลังกาย ทำให้อาการของเธอดีขึ้นเรื่อยๆ วันที่เราเจอกันหน้าตาเธอดูสดใสมาก จนไม่อยากเชื่อเลยว่า เธอผ่านเรื่องร้ายๆ มาขนาดนั้น ตอนนี้เธอหายแล้ว…เซลล์ที่เคยผิดปกติได้กลับมาปกติเหมือนเดิมแล้ว โชคดีว่ารู้ตัวเร็ว และรักษาทุกวิถีทาง และยังใช้ประสบการณ์ตัวเองบอกต่อคนอื่นอย่างไม่หยุดยั้งด้วย



HPV คืออะไรกันแน่?

HPV = Human Papillomavirus เป็นไวรัสที่พบได้ทั่วไปเหมือนเชื้อหวัด ติดเชื้อได้ทั้งผู้ชาย และผู้หญิงผ่านการสัมผัส ตั้งแต่มีเพศสัมพันธ์ สัมผัสผิวหนัง ยิ่งถ้ามีรอยถลอก หรือเป็นแผลตรงจุดที่สัมผัสก็ยิ่งทำให้เชื้อเข้าสู่ร่างกายง่ายขึ้น

HPV มีประมาณ 200 สายพันธุ์ อาจทำให้ติดเชื้อในส่วนต่างๆ ของร่างกายแล้วกลายเป็น หูดหงอนไก่ที่มือ เท้า ริมฝีปาก ทวารหนัก หรือขึ้นทั้งตัว

มี HPV ประมาณ 15 สายพันธุ์ เป็นชนิดที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะชนิดที่ 16 หรือ 18 เป็นสาเหตุหลักประมาณ 70% ของมะเร็งปากมดลูก ถ้าเกิดการติดเชื้อที่อวัยวะเพศแล้ว ร่างกายสร้างภูมิกำจัดไม่ได้ เซลล์เยื่อบุผิวปากมดลูกจะผิดปกติ ถ้าตรวจไม่พบเชื้อและไม่ได้รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เซลล์ผิดปกติที่ว่า ก็จะพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูกในอนาคตได้ในที่สุด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้อาจใช้เวลา 2-10 ปี แต่บางเคสอาจเกิดขึ้นภายใน 1 ปีก็ได้
 

การติดเชื้อ HPV มาจาก…

เชื้อ HPV เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ที่มีโอกาสพัฒนาเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกค่อนข้างสูง ช่วงแรกๆ ที่เป็นอาจจะมีอาการแค่ “หูด” (หงอนไก่) ขึ้นที่อวัยวะเพศของผู้ชายหรือผู้หญิง แต่เชื้อไวรัส HPV ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา


การติดเชื้อ อาจเกิดจากผู้ชายที่เคยมีเซ็กซ์และได้รับเชื้อมาจากคู่นอนที่อาจนำเชื้อ HPV ติดตัวมาด้วยโดยไม่แสดงอาการ ถ้าเขามีเพศสัมพันธ์ครั้งต่อไปก็จะนำเชื้อ HPV มาให้ผู้หญิงอีกคนที่นอนด้วย ถึงแม้เธอจะไม่เคยมีเซ็กซ์กับใครมาก่อน การมีเซ็กซ์กับเขาครั้งเดียวก็ติดเชื้อ HPV ได้แล้ว

อาการของโรค ผู้หญิงที่ติดเชื้อ HPV จะไม่แสดงอาการอะไรเลยในระยะแรก ถ้าไม่ได้ตรวจพบความผิดปกตินี้ตั้งแต่แรก เชื้ออาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ปากมดลูก และพัฒนากลายเป็นมะเร็งปากมดลูกในอนาคตได้


วิธีป้องกัน
• ต้องหาผู้ชายที่ซื่อสัตย์ไม่เคยมีเซ็กซ์กับใครมาทั้งชีวิต (ไม่น่าจะหาเจอง่ายๆ)
• ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ได้ตั้งแต่อายุ 9-26 ปี (ฉีด 3 เข็มต่อเนื่อง) แต่วัคซีนไม่ได้ช่วยได้ 100% เพราะป้องกันโรคที่ติดเชื้อ HPV ได้บางสายพันธุ์เท่านั้น และไม่ได้ช่วยรักษาโรคที่เกิดจากเชื้อ HPV ที่ร่างกายมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว คนที่จะฉีดวัคซีน HPV ให้ได้ผลดีที่สุดคือ ต้องฉีดก่อนได้รับเชื้อ HPV หรือก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกด้วยซ้ำ และตอนนี้ต่างประเทศมีการรณรงค์ให้ฉีดวัคซีนป้องกัน HPV ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายแล้ว
• ลดความเสี่ยงด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเซ็กซ์กับคู่นอนหรือสามี
• ตรวจร่างกายหาการติดเชื้อไวรัส HPV ทุกปี ด้วยกายตรวจคัดกรอกมะเร็งปากมดลูก หรือ แปปสเมียร์ (Pap Smear) จะช่วยตรวจหาเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่ผิดปกติในระยะก่อนเป็นมะเร็งได้
 
วิธีรักษา
• พยายามอย่าเครียด
• กินผักใบเขียวเยอะๆ อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารที่ทาน
• ออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายแข็งแรง เป็นการสร้างภูมิต้านทานไวรัส
• ห้ามสูบบุหรี่เด็ดขาด และอย่าอยู่ในบริเวณที่มีการสูบบุหรี่
• ให้ผู้ชายสวมถุงยางทุกครั้งที่มีเซ็กซ์ด้วยกัน
• ถ้าเจอเซลล์ผิดปกติสามารถรักษาได้ด้วยการจี้เย็น การตัดปากมดลูก
 
Did You Know…?
• มีผู้หญิงไทยไม่ถึง 10% เท่านั้นที่เคยตรวจแปปสเมียร์ ทั้งที่เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มาก และรักษาได้ถ้าตรวจเจอเชื้อมะเร็งในระยะเริ่มต้น
• องค์กรอนามัยโลก (WHO) ประกาศเมื่อปีที่แล้วว่า น่าจะมีผู้ติดเชื้อ HPV ทั่วโลกมากกว่า 630 ล้านคน (9-13%)
• แต่ละปีจะมีสาวไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ประมาณ 6,500-7,000 คน และ 40-50% จะเสียชีวิต
• ผู้หญิงไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกตายวันละ 7-8 คน





ที่มา http://www.thairath.co.th/