ผู้เขียน หัวข้อ: สัปดาห์รู้รักษ์ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย 24-26 พ.ย.นี้  (อ่าน 1320 ครั้ง)

ออฟไลน์ Por-MedTech

  • Global Moderator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 1192
    • อีเมล์
สัปดาห์รู้รักษ์ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย 24-26 พ.ย.นี้ ‘ปัญหาเชื้อดื้อยาเรื่องใหญ่ที่สังคมไทยยังไม่รับรู้’



                วันที่ 18 พฤศจิกายน ของทุกปีถูกกำหนดให้เป็นวัน Antibiotic Awareness Day เนื่องจากมีปัญหาการใช้ยาต้านแบคทีเรียจนเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาทั่วโลก ถึงขั้นต้องมีการกำหนดวันขึ้นเพื่อรณรงค์และส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักรู้ว่า “เกิดปัญหาการเสียชีวิตจากติดเชื้อในกระแสโลหิตรุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย” นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษ พบว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีการเสียชีวิตจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 7 แสนราย ซึ่งหากปล่อยให้สภาพปัญหานี้ดำรงอยู่ต่อไป ในปี 2593 คาดว่าจำนวนการเสียชีวิตจะสูงขึ้นถึง 10 ล้านคนและสร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจกว่า 3 พันล้านล้านบาท




สำหรับประเทศไทย มีการประมาณการว่าในแต่ละปีคนไทยติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาประมาณ 88,000 คน และเสียชีวิตจากเชื้อเหล่านี้ประมาณ 38,000 คน คิดเป็นความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมรวมกันถึง 46,000 ล้านบาท นี่ยังไม่รวมค่ายาที่ต้องนำมาใช้แต่ไม่ได้ผลปีละมากกว่าหมื่นล้านบาท (ประเทศไทยมีการใช้ยาต้านจุลชีพสูงเป็นอันดับหนึ่งของกลุ่มยาที่ใช้ทั้งหมด สูงกว่ายารักษามะเร็งที่ถือว่าแพง)

ศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) รายงานว่า สถิติการเสียชีวิตจากเชื้อแบคทีเรียดื้อยา 3 อันดับแรกเกิดจาก การติดเชื้อในกระแสเลือดจากการใส่สายสวนหลอดเลือด การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจากการใส่สายสวนปัสสาวะ และอันดับสุดท้ายคือการติดเชื้อจากปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ  ด้วยเหตุนี้ ทาง กพย. ด้วยการสนับสนุนจาก สสส. ซึ่งทำงานด้านการสร้างตระหนักรู้ในการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดงาน ‘สัปดาห์รู้รักษ์ ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย ประจำปี พ.ศ. 2558’ ขึ้น ในวันที่ 24-26 พฤศจิกายนนี้ ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน)

ผศ.ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการ กพย. กล่าวว่า ปัญหาเชื้อแบคทีเรียเป็นปัญหาใหญ่มากในปัจจุบัน อัตราการดื้อยาเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งตัวเร่งให้เกิดกลายพันธุ์คือการได้รับยาต้านแบคทีเรียเกินจำเป็น เช่น เมื่อเป็นหวัดจากการติดเชื้อไวรัส แต่กลับกินยาต้านแบคทีเรียซึ่งไม่มีผลต่อเชื้อไวรัส เท่ากับเป็นการใช้ยาไม่ตรงสาเหตุ เกินความจำเป็นมากขึ้น ก็ยิ่งเร่งการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้น ในด้านบุคลากรสาธารณสุขก็พบว่ามีใช้ยาไม่สมเหตุผลเช่นกัน แต่ปัญหาการดื้อยามิได้แสดงให้เห็นผลเสียในทันที  จึงทำให้คนมองไม่เห็นภาพปัญหาการดื้อยาในขณะนี้ว่ามีความรุนแรงแค่ไหน

ผศ.ภญ.นิยดา กล่าวต่อว่า ประเด็นที่น่าวิตกสำหรับสังคมไทย กล่าวว่าคือการแพร่ระบาดของยาต้านแบคทีเรียอย่างไร้การควบคุม เพราะสามารถหาซื้อได้ในร้านชำทั่วไป หรือตลาดนัด  ซ้ำยังมีการนำไปใช้ในการเกษตร เช่น ในหมู ไก่ กุ้ง ปลา หรือแม้แต่พืชอย่างส้มและมะนาว และเมื่อเกิดการตกค้างในสิ่งแวดล้อมก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย ซึ่งในไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แต่อย่างใด

ด้วยเหตุนี้ ทาง กพย. ด้วยการสนับสนุนจาก สสส. ซึ่งทำงานด้านการสร้างตระหนักรู้ในการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างต่อเนื่อง จึงได้จัดงาน ‘สัปดาห์รู้รักษ์ ตระหนักใช้ยาต้านแบคทีเรีย ประจำปี พ.ศ. 2558’ ขึ้น ในวันที่ 24-26 พฤศจิกายนนี้ ณ ห้องประชุมเอนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (สี่แยกปทุมวัน)

โดยในงานครั้งนี้จะมีการรายงานสถานการณ์การใช้ยาต้านแบคทีเรียในปัจจุบันให้แก่สาธารณชนได้รับรู้ว่าคนไทยเรามีการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างพร่ำเพรื่อและมากเกินจำเป็น จนก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ เช่น เกิดการแพ้ยา การใช้ยาที่สูญเปล่า เกินจำเป็น สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย และนำไปสู่ปัญหาเชื้อแบคทีเรียดื้อยาที่รุนแรงตามมา

ในงานยังมีกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักและเข้าใจถึงการใช้ยาต้านแบคทีเรียอย่างสมเหตุผล มีการให้ความรู้ในการใช้ยาที่ถูกต้อง ทางเลือกเพื่อไม่ต้องใช้ยาต้านแบคทีเรียทั้งในการดูแลตนเอง การป้องกันโรค การสร้างเสริมสุขภาพ การใช้สมุนไพร เพื่อก่อให้เกิดผลในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ยาต้านแบคทีเรีย 

นอกจากจะมีการพูดถึงสถานการณ์แล้ว ยังมีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเครือข่ายจากจังหวัดต่างๆ รวมทั้งต่างประเทศ ที่ทำงานในประเด็นนี้ร่วมกับ กพย. มาร่วมพูดคุยและหาแนวทางแก้ไข มีการเวิร์คช็อปการดูแลสุขภาพตนเองเบื้องต้นให้แก่ประชาชน เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาโดยไม่จำเป็น และการเปิดตัวหนังสือดูแลสุขภาพอีกด้วย เพราะเชื่อว่าการจัดการปัญหาเชื้อดื้อยาไม่ใช่เรื่องเฉพาะแพทย์เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกคน










**********************************************
ที่มา : http://www.hfocus.org/home