ผู้เขียน หัวข้อ: กรมวิทย์ฯ เตรียมพร้อมห้องปฏิบัติการตรวจไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H10N8  (อ่าน 1048 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์


ห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข สามารถตรวจวิเคราะห์หาสายพันธุ์ไข้หวัดนกชนิด H10N8 ได้ โดยห้องปฏิบัติการส่วนกลาง ใช้วิธีหาลำดับเบสของสารพันธุกรรม หรือยีนส่วน H และ N(Gene sequencing)ในการตรวจยืนยันสายพันธุ์ไข้หวัดนก H10N8 และกำลังขยายศักยภาพการตรวจวิเคราะห์แบบรวดเร็วไปยังห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาคอีก 14 แห่ง เพื่อให้สามารถรายงานผลได้ภายใน 24 ชั่วโมง

             นายแพทย์อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีข่าวพบผู้ป่วยและเสียชีวิต ด้วยโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ H10N8 ในเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งถือว่าเป็นการพบในคน เป็นครั้งแรก จากการสอบสวนโรคเบื้องต้น พบว่า ผู้ป่วยมีประวัติเดินทางไปตลาดสดค้าสัตว์ปีกในท้องถิ่นและเข้ารับการรักษา ในโรงพยาบาลท้องถิ่นและเสียชีวิตด้วยอาการโรคปอดอักเสบรุนแรง ขณะนี้ยังไม่พบบุคคลในครอบครัวและสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่อยู่ภายใต้การเฝ้าระวังทางการแพทย์แสดงอาการเจ็บป่วยหรือผิดปกติ
             สำหรับเชื้อก่อโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H10N8 เป็นเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่หรือ Influenza virus ซึ่งแยกเป็น 3 ชนิด คือ A, B และ C แต่ที่ก่อโรคในคนและสัตว์มักพบเป็นชนิด A และ B ชนิด A มักจะก่อโรครุนแรงได้ทั้งในคนและสัตว์ ปัจจุบันเรามักจะได้ยินชื่อไข้หวัดใหญ่อยู่ 3 แบบ คือ ไข้หวัดนก ไข้หวัดหมูและไข้หวัดตามฤดูกาล ซึ่งเกิดโรคในคนและมีการระบาดเป็นประจำทุกปี แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไข้หวัดนกได้กลายพันธุ์ข้ามจากโรคของสัตว์ปีกมาก่อโรครุนแรงในคน ซึ่งประเทศไทยและอีกหลายประเทศได้ประสบปัญหาร้ายแรงกระทบต่อทั้งด้านเศรษฐกิจและสาธารณสุขมาแล้ว เมื่อปี พ.ศ.2546 จากไข้หวัดนก H5N1 ในประเทศจีน ไต้หวัน ฮ่องกง พบไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H7N9 เมื่อเดือนมีนาคม 2556 ตามมาด้วยไข้หวัดนก สายพันธุ์ใหม่ H10N8 ในประเทศจีนอีกครั้ง โดยทั่วไปเชื้อไข้หวัดนกแบ่งเป็น 2 ชนิด ตามความรุนแรงของอาการในสัตว์ปีก คือ ชนิดไม่รุนแรง และชนิดรุนแรงมาก ซึ่งชนิดนี้พบในชนิดย่อย (subtype) H5 และ H7 การที่เชื้อแบ่งเป็นชนิดย่อยตาม H (Hem agglutinin)และ N (Neuraminidase) ก็เนื่องจากโปรตีนทั้ง 2 ชนิด ที่อยู่บนเปลือกหุ้มของไข้หวัดใหญ่ชนิด A มีคุณสมบัติแตกต่างกันทำให้แยก H ออกเป็น H1 ถึง H18 และ N แยกเป็น N1 ถึง N11 และหากเชื้อ 2 ชนิด ที่มีองค์ประกอบของ H และ ต่างกันมาผสมข้ามสายพันธุ์ ก็อาจได้ลูกผสมสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งเกิดจากการสลับชิ้นส่วนของ H และ N ของเชื้อตั้งต้น 2 ชนิด ซึ่งลูกผสมสายพันธุ์ใหม่นี้ (Reassortant virus) อาจมีคุณสมบัติที่สามารถแพร่เชื้อในคนและก่อให้เกิดอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้ว่าจะไม่ใช่สายพันธุ์ใหม่ในสัตว์ แต่เมื่อไวรัสตัวเดียวกันนี้มาพบติดเชื้อในคนเป็นครั้งแรก เราจึงเพิ่มชื่อ “สายพันธุ์ใหม่” เข้าไปด้วย เช่น เชื้อไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H5N1, H7N9 และ H10N8 เป็นต้น


          อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับการแต่งตั้งจากองค์การอนามัยโลก ให้เป็นศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ (WHO National Influenza Center) โดยเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงระดับชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 และได้มีการเฝ้าระวังทางห้องปฏิบัติการสำหรับเชื้อไข้หวัดใหญ่ชนิดต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในคนตลอดมา สำหรับการเตรียมความพร้อมในการเฝ้าระวังโรคไข้หวัดนกสายพันธุ์ใหม่ H10N8 นั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถตรวจวิเคราะห์ หาสายพันธุ์ไข้หวัดนกชนิด H10N8 ได้ โดยห้องปฏิบัติการส่วนกลางใช้วิธีหาลำดับเบสของสารพันธุกรรมหรือยีนส่วน H และ N (Gene sequencing) ในการตรวจยืนยันสายพันธุ์ไข้หวัดนก H10N8 และกำลังขยายศักยภาพการตรวจวิเคราะห์แบบรวดเร็ว ไปยังห้องปฏิบัติการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ในส่วนภูมิภาคอีก 14 แห่ง เพื่อให้สามารถรายงานผลได้ภายใน 24 ชั่วโมง นับตั้งแต่ที่ห้องปฏิบัติการกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้รับตัวอย่าง โดยข้อมูลและเชื้อไวรัสเหล่านี้จะมีการแลกเปลี่ยน กับองค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างใกล้ชิดและจัดตั้งระบบการเฝ้าระวังโรคให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนกลาง ได้แก่ ศูนย์ไข้หวัดใหญ่แห่งชาติ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข และในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่ง ที่สามารถให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการได้อย่างครอบคลุมทั่วประเทศ





----------------------------------------
ที่มา www.moph.go.th