ผู้เขียน หัวข้อ: “มะเร็ง”รุนแรงขึ้น คนไทยดับปีละกว่า 6หมื่นคน  (อ่าน 976 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์

สธ.เตือนภัย“มะเร็ง”รุนแรงขึ้น คนไทยดับปีละกว่า 6หมื่นคน ทั่วโลกปีละเกือบ 8 ล้านคน




                     สาธารณสุข เผยขณะนี้ภัยจากโรคมะเร็งรุนแรงขึ้น ต่อปีมีคนไทยเสียชีวิตกว่า 60,000 คน มากเป็นอันดับ 1 ในประเทศ   ส่วนทั่วโลกมีรายงานเสียชีวิตปีละเกือบ 8 ล้านคน   ย้ำเตือนผู้ที่มีความเสี่ยงโรคมะเร็งสูง    ได้แก่ คนอ้วน  คอทองแดง สิงห์อมควัน คนที่กินผักผลไม้สดน้อย และไม่ออกกำลังกาย  พร้อมแนะให้ประชาชนอายุ 30ปีขึ้นไป ตรวจร่างกายประจำปี โดยเฉพาะมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม ชี้หากพบแต่เริ่มแรก โอกาสรักษาหายมีสูง โดยกระทรวงสาธารณสุขเร่งกระจายโรงพยาบาลรักษามะเร็งทั่วประเทศ ทั้งผ่าตัด เคมีบำบัด ฉายแสง และดูแลผู้ป่วยที่หมดหวังถึงบ้าน

             นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ทุกปี  องค์การอนามัยโลกและสมาคมต่อต้านมะเร็งสากล กำหนดให้เป็นวันมะเร็งโลก(World Cancer Day)  เพื่อให้ประเทศต่างๆ รณรงค์ให้รู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับมะเร็งและตระหนักถึงความรุนแรงของโรคนี้ เนื่องจากขณะนี้โรคมะเร็งกำลังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงระดับโลก เป็นภัยเงียบคุกคามชีวิตประชาชนวัยแรงงานและผู้สูงอายุมากที่สุด      องค์การอนามัยโลกรายงานพบผู้ป่วยโรคมะเร็งทั่วโลกปีละประมาณ 13 ล้านคน เสียชีวิตปีละ 7.6 ล้านคน มากที่สุดคือมะเร็งปอดจำนวน 1.37 ล้านคน  แนวโน้มจำนวนผู้ป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นทุกประเทศ คาดว่าในอีก 16 ปีคือในปี 2573 จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 13 ล้านกว่าคน ถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก
 
  นายแพทย์ณรงค์กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย พบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงอันดับ 1 ของคนไทยต่อเนื่องมานานกว่า 13 ปี ตั้งแต่ปี 2543  เป็นต้นมา ล่าสุดในปี 2554 มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งทุกชนิด 61,082 คน คิดเป็นร้อยละ 15 ของผู้เสียชีวิตทั้งหมดที่มีปีละ 414,670 คน  โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคนี้เพิ่มขึ้นปีละประมาณ 3,000 คน ในการจัดบริการทั้งการป้องกัน การดูแลรักษาผู้ป่วย ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2556 เป็นต้นมา กระทรวงสาธารณสุขได้จัดบริการในรูปแบบของเขตบริการสุขภาพ มีทั้งหมด 12 เขต เขตละ 5-8 จังหวัด ดูและประชาชนเฉลี่ยประมาณ  5  ล้านคน ให้แต่ละเขตบริการใช้หลักการบริหารร่วมทั้งงบประมาณ กำลังคน และเครื่องมือแพทย์ร่วมกัน      โดยใช้แผนบริการสุขภาพหรือเซอร์วิส แพลน ( service plan) เป็นเครื่องมือหลักของการพัฒนา ซึ่งได้กำหนดให้บริการของโรคมะเร็งเป็น 1 ใน10 สาขาบริการหลักที่ต้องดำเนินการทุกเขตบริการสุขภาพ  เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าผู้ป่วยมะเร็งที่มาพบแพทย์ ป่วยในระยะลุกลามมากกว่าระยะเริ่มต้น โอกาสหายขาดจึงมีน้อย
 
ทั้งนี้มาตรการพัฒนาบริการ กำหนดให้ทุกเขตบริการสามารถผ่าตัดมะเร็ง รักษาด้วยเคมีบำบัด และขยายการรักษาด้วยรังสี เพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้ป่วยมะเร็งเร็วขึ้น ได้รักษาใกล้บ้าน โดยได้รับการผ่าตัดใน4 สัปดาห์ ได้รับยาเคมีบำบัดใน 4 สัปดาห์ และได้รับการฉายแสงระงับเซลล์มะเร็งแพร่กระจายใน 6  สัปดาห์
 
           ทางด้านนายแพทย์วชิระ  เพ็งจันทร์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า  ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ขยายบริการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่อยู่ในระยะสุดท้ายของชีวิต  ซึ่งส่วนใหญ่จะดูแลที่บ้าน โดยให้ทีมสุขภาพของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ร่วมกับโรงพยาบาลชุมชนและอสม.ออกไปให้การดูแลที่บ้านอย่างต่อเนื่องด้วย    เพื่อช่วยลดความทุกข์ทรมานผู้ป่วย 
 
           สำหรับปัจจัยเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งที่สำคัญมี 5 ประการได้แก่ ความอ้วน การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การไม่ออกกำลังกาย และไม่กินผักผลไม้สดโดยโรคมะเร็งจะค่อยๆก่อตัว ค่อยเป็นค่อยไป ไม่รู้ตัว จึงขอแนะนำผู้ที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรตรวจสุขภาพ ค้นหาความผิดปกติอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากตรวจพบเร็วโอกาสรักษาหายจะมีสูง
 
          ขณะเดียวกันได้จัดระบบการป้องกัน   และการค้นหาผู้ที่เริ่มมีความผิดปกติ แต่ยังไม่รู้ตัว เช่นผู้หญิงที่อายุ  30 ปีขึ้นไป  จะรณรงค์ให้ตรวจหามะเร็งปากมดลูกให้ได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80  ตรวจมะเร็งเต้านมไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90   หากพบความผิดปกติจะได้รับการผ่าตัดภายใน 1 เดือน ซึ่งมีโอกาสหายเป็นปกติสูงมาก หากเซลล์มะเร็งยังไม่ลุกลามไปที่อื่น  ส่วนในบางเขตบริการฯ เช่นในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่พบโรคมะเร็งตับสูง จะตรวจหาไข่พยาธิใบไม้ตับในอุจจาระ หากพบจะให้ยาฆ่าพยาธิและปรับพฤติกรรมเลิกกินปลาน้ำจืดดิบ ๆสุกๆ ด้วย
 
        สำหรับการป้องกันโรคมะเร็ง มีหลักการง่ายๆคือ 5 ทำ 5 ไม่  กิจกรรมที่ควรทำ 5 ประการได้แก่ 1.ออกกำลังกายประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 5 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 30 นาที จะป้องกันความอ้วน ลดความเครียดได้ 2. ทำจิตแจ่มใส  ทำได้หลายวิธีเช่นออกกำลังกาย การทำบุญตามวิถีแห่งศาสนา การทัศนศึกษา 3. กินผักผลไม้สดให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม ในผักผลไม้มีสารต้านมะเร็ง เช่นวิตามินเอ สารเบต้าแคโรทีน และมีเส้นใยอาหาร ทำหน้าที่คล้ายแปรงไปกระตุ้นผนังลำไส้ใหญ่ให้สร้างเมือกมากขึ้น ทำให้ระบบขับถ่ายดี 4.กินอาหารให้หลากหลาย ไม่ซ้ำซาก จำเจ และใหม่สด สะอาด ปราศจากเชื้อรา ลดอาหารที่มีไขมันสูง  อาหารปิ้งย่าง หรือทอดไหม้เกรียม  อาหารหมักดองเค็ม และ5. ตรวจร่างกายเป็นประจำ 
 
         สิ่งที่ไม่ควรทำมี 5 ประการคือ 1.ไม่สูบบุหรี่ โดยพบว่ามะเร็งปอดร้อยละ 80 เกิดจากสูบบุหรี่ ปัจจุบันพบมะเร็งปอดรายใหม่ปีละกว่า 10,000 คน หากหยุดสูบบุรี่จะป้องกันเกิดมะเร็งปอดได้ร้อยละ60-70 2.ไม่มีเซ็กส์มั่ว ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย  3.ไม่ดื่มสุรา โดยผู้ที่ดื่มสุรามากกว่าวันละ 3 แก้ว จะเพิ่มความเสี่ยงมะเร็ง 9 เท่าของคนไม่ดื่ม และหากดื่มมากว่าวันละ 3 แก้วและสูบบุหรี่มากกว่าวันละ 20 มวนด้วย ความเสี่ยงเกิดมะเร็งจะเพิ่มเป็น 50 เท่าตัว  4.ไม่ตากแดดจ้า และ5.ไม่กินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ด ดิบๆ เช่นปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาเกล็ดขาว         
         
        ทั้งนี้ประชาชนสามารถสังเกตสัญญาณผิดปกติ สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งมี 7 ประการ  ได้แก่ 1.มีเลือดออกหรือมีสิ่งขับออกจากร่างกายผิดปกติ เช่นตกขาวมากเกินไป 2.มีก้อนเนื้อหรือตุ่มเกิดขึ้นที่ใดที่หนึ่งของร่างกายและก้อนนั้นโตเร็ว 3.มีแผลเรื้อรังรักษาหายยาก 4.ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะผิดปกติหรือเปลี่ยนไปจากเดิม 5.เสียงแหบหรือไอเรื้อรัง 6.กลืนอาหารลำบากหรือทานอาหารแล้วไม่ย่อย และ 7.มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝ  หากมีอาการเหล่านี้ขอให้ไปพบแพทย์โดยเร็ว     นายแพทย์วิชระกล่าว







----------------------------------
ที่มา www.moph.go.th