ไทย-สหรัฐต่อยอดศึกษาวิจัยผลิตวัคซีนเอดส์
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เผยไทยและสหรัฐฯได้ร่วมมือกันวิจัยพัฒนาวัคซีนเอดส์มาเป็นเวลากว่า 20 ปี จนประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกพบว่าวัคซีนสามารถลดการติดเชื้อเอดส์ได้ถึง 31% เตรียมขยายและพัฒนาความร่วมมือในการวิจัยให้ต่อเนื่อง ให้วัคซีนมีศักยภาพลดการติดเชื้อได้มากกว่า 50% เพื่อประสิทธิภาพในการป้องโรคและการนำวัคซีนไปใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งการต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามการผลิตวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ได้ 31% นี้ เป็นความสำเร็จในระดับหนึ่งเท่านั้นยังไม่ถึงขั้นดีมาก ยังผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและนำไปใช้ไม่ได้ ยังอยู่ในขั้นเตรียมการเพราะการผลิตวัคซีนไม่เหมือนการผลิตยาตัวอื่นๆซึ่งการผลิตวัคซีนมีเรื่องของกระบวนการรับรองมาตรฐานและเรื่องของความ ปลอดภัยสูง ในทางทฤษฎีวัคซีนต้องสามารถลดการติดเชื้อได้มากกว่า 50% จึงจะถือว่ามีศักยภาพในการผลิต เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันโรคได้จริง ดังนั้นจึงต้องมีการร่วมมือกันตั้งแต่การพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นและ เตรียมการผลิตในภาคเอกชนด้วย เพราะหากไม่เตรียมการตั้งแต่ต้น อาจจะมีบริษัทเอกชนอื่นๆจากต่างประเทศเข้ามาร่วมมือและทำให้ประเทศไทยเสีย โอกาสทั้งที่เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้น
*****************************
ที่มา : นสพ.พิมพ์ไทย
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เผยไทยและสหรัฐฯได้ร่วมมือกันวิจัยพัฒนาวัคซีนเอดส์มาเป็นเวลากว่า 20 ปี จนประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกของโลกพบว่าวัคซีนสามารถลดการติดเชื้อเอดส์ได้ถึง 31% เตรียมขยายและพัฒนาความร่วมมือในการวิจัยให้ต่อเนื่อง ให้วัคซีนมีศักยภาพลดการติดเชื้อได้มากกว่า 50% เพื่อประสิทธิภาพในการป้องโรคและการนำวัคซีนไปใช้ประโยชน์ได้จริง รวมทั้งการต่อยอดในเชิงอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามการผลิตวัคซีนป้องกันโรคเอดส์ได้ 31% นี้ เป็นความสำเร็จในระดับหนึ่งเท่านั้นยังไม่ถึงขั้นดีมาก ยังผลิตในเชิงอุตสาหกรรมและนำไปใช้ไม่ได้ ยังอยู่ในขั้นเตรียมการเพราะการผลิตวัคซีนไม่เหมือนการผลิตยาตัวอื่นๆซึ่งการผลิตวัคซีนมีเรื่องของกระบวนการรับรองมาตรฐานและเรื่องของความ ปลอดภัยสูง ในทางทฤษฎีวัคซีนต้องสามารถลดการติดเชื้อได้มากกว่า 50% จึงจะถือว่ามีศักยภาพในการผลิต เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการป้องกันโรคได้จริง ดังนั้นจึงต้องมีการร่วมมือกันตั้งแต่การพัฒนาให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นและ เตรียมการผลิตในภาคเอกชนด้วย เพราะหากไม่เตรียมการตั้งแต่ต้น อาจจะมีบริษัทเอกชนอื่นๆจากต่างประเทศเข้ามาร่วมมือและทำให้ประเทศไทยเสีย โอกาสทั้งที่เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการวิจัยพัฒนาวัคซีนตั้งแต่ต้น
*****************************
ที่มา : นสพ.พิมพ์ไทย