ผู้เขียน หัวข้อ: บริการไฮเทคแช่แข็งมนุษย์หวังคืนชีพหนูน้อยชาวไทย  (อ่าน 559 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์








เว็บไซต์ข่าวออนไลน์ "เดลี เมล" ของอังกฤษ เสนอรายงานเมื่อวันศุกร์ เกี่ยวกับเรื่องราวจากครอบครัวของ "น้องไอนส์" เด็กหญิงชาวไทยซึ่งเสียชีวิตด้วยวัยเพียง 2 ขวบ เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา หลังต่อสู้กับอาการป่วยจากโรคเนื้องอกในสมองมาเป็นเวลานาน ที่ทำให้เธอต้องเข้ารับการผ่าตัด 12 ครั้ง และเข้ารับการบำบัดด้วยการฉายรังสีอีก 20 ครั้ง

อย่างไรก็ตามหลังการเสียชีวิตของหนูน้อย บิดามารดาของน้องไอนส์ซึ่งเป็น ดร.คนไทยทั้งคู่ ได้ติดต่อใช้บริการทางการแพทย์ของมูลนิธิ "อัลคอร์ ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น" ในรัฐแอริโซนาของสหรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการเก็บรักษาเซลล์เชื้อโรค และเซลล์จากร่างกายมนุษย์ รวมถึงร่างกายมนุษย์ที่เสียชีวิตแล้วด้วยวิธีการแช่แข็งภายใต้อุณหภูมิเย็นจัด โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมแล้วสูงกว่า 3 แสนดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 10 ล้านบาท )

ทั้งนี้อ้างอิงจากรายงานของเดลี เมล ครอบครัว"น้องไอนส์" เปิดเผยว่า น้องไอนส์เป็นเด็กหลอดแก้วที่เกิดจากแม่อุ้มบุญ โดยบิดาแสดงความหวังว่าการแช่แข็งร่างกาย และเซลล์ต่างๆของน้องไอนส์ อาจปูทางสู่การสร้างโอกาสในการชุบชีวิตบุตรสาวขึ้นมาอีกครั้งในอนาคต หากวิทยาศาสตร์การแพทย์ในเวลานั้นได้รับการพัฒนา และวิธีการนั้นเหมาะสมกับสภาพร่างกายของบุตรสาว ขณะที่ผู้เป็นแม่กล่าวว่า อย่างน้อยครอบครัวได้อุทิศชีวิตของบุตรสาวเพื่อความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การแพทย์

ข้อมูลเบื้องต้นจากอัลคอร์ระบุด้วยว่า น้องไอนส์เป็นคนไข้ลำดับที่ 134 ของมูลนิธิ ขณะที่การขนส่งร่างกายและเซลล์จากร่างกายของเด็กหญิงได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง และอำนวยความสะดวกจากสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในกรุงเทพฯ ซึ่งส่งน้องไอนส์เดินทางด้วยเที่ยวบินพาณิชย์มายังนครลอสแองเจลิส ก่อนเดินทางต่อมายังสำนักงานใหญ่ของอัลคอร์ในรัฐแอริโซนา ปัจจุบันเซลล์สมอง และเซลส์ร่างกายส่วนอื่นของน้องไอนส์ได้รับการแช่แข็งในสารไนโตรเจนเหลวท่ามกลางอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ส่วนร่างกายของน้องไอนส์ได้รับการแช่แข็งเป็นอย่างดีเช่นกัน เพื่อรอ "การรักษา" ที่อาจนำไปสู่การชุบชีวิตหนูน้อยในอนาคต

ด้าน ศ.นพ.สุรเดช หงส์อิง อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ รพ.รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงการวิจัยรหัสพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคมะเร็งในสมองชนิดร้ายแรง ซึ่งมีจุดกำเนิดมาจาก "น้องไอนส์" ซึ่งป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมองชนิดร้ายแรงว่า ได้ดูแลน้องไอนส์ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสียชีวิต โดยการจัดตั้งกองทุนวิจัยรหัสพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคมะเร็งในเด็ก รพ.รามาธิบดี ได้เริ่มมาประมาณ 6 เดือนแล้วโดยได้รับการสนุนจากคุณพ่อและคุณแม่ของน้องไอนส์ ซึ่งเมื่อลูกป่วยก็มีความทุกข์มาก จึงให้ความสนใจเรื่องการรักษาโรคมะเร็งทางสมอง จึงเป็นที่มาของกองทุนนี้ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดความรู้ในเรื่องนี้ การวิจัยในบ้านเราส่วนใหญ่จะพึ่งรัฐบาลหมด และเป็นเรื่องยารักษามะเร็งไม่ได้ลงไปที่พันธุกรรม ทั้งที่มะเร็งเกิดจากพันธุกรรมที่กลายพันธุ์ ดังนั้น รพ.รามาธิบดีจึงเป็นแห่งเดี่ยวที่เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อมะเร็งแบบครบวงจรเพื่อนำมาศึกษา ซึ่งถ้ารู้ตรงนี้จะทำให้รู้ว่ามีการกลายพันธุ์อย่างไร ดังนั้นถ้าได้ความรู้ตรงนี้จะนำไปสู่การผลิตยามะเร็งที่ตรงกับเซลล์มะเร็ง ซึ่งยาในปัจจุบันล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งกองทุกตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปต้องหาเงินระดมทุนประมาณปีละ 20 ล้านบาท

ด้าน ดร.สหธรณ เนาวรัตน์พงษ์ กล่าวว่า ยินดีที่จะเผยแพร่เรื่องราวและภาพของน้องไอนส์เพื่อเป็นแรงผลักดันในการสนับสนุนงานวิจัยรหัสพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคมะเร็งในเด็กและการเก็บรักษาเซลล์และร่างกายมนุษย์ด้วยวิธีการแช่แข็งซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยในต่างประเทศมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องมากว่า40ปีแต่ในเมืองไทยอาจถือเป็นเรื่องใหม่ สำหรับครอบครัว ตนมีบุตร4คนๆโตเป็นผู้ชายอายุ14ปี น้องไอนส์เป็นคนที่2 ที่ใช้เทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ให้กำเนิดเช่นเดียวกับลูกชายฝาแฝดซึ่งเป็นลูกคนที่3และที่4ปัจจุบันอายุ2ขวบ
















ที่มา http://www.dailynews.co.th/Content/foreign/315293/%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%AE%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84_%E0%B9%81%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B9%81%E0%B8%82%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C_+%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%9E_%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2_