ผู้เขียน หัวข้อ: สาว 16 ทุกข์ใจพี่ชายโดนยัดยา ขอค่าไถ่เป็นมีเซ็กส์กับแม่  (อ่าน 241 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (5 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. เพจมีด่านบอกด้วยอุบลราชธานี ได้ประสานขอให้สื่อมวลชนช่วยตรวจสอบข้อเท็จจริงและนำเสนอข่าวเตือนภัยสังคมกรณีมีหญิงสาววัย 16 ปี ส่งข้อมูลเตือนภัยภัยจากการถูกชายแต่งกายคล้ายตำรวจทหาร ในพื้นที่ชายแดนตั้งด่านและยัดยาบ้าให้พี่ชาย ก่อนจะขอมีเพศสัมพันธ์กับคุณแม่เพื่อเป็นการปล่อยตัวไม่ดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อนางสาวมินตรา นามสมมุติอายุ 16 ปี (น้องสาว) ผู้เสียหายเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงของเรื่องราวที่แจ้งไปยังเพจมีด่านบอกด้วยอุบลราชธานี  นางสาวมินตราเล่าว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 07.35 น. วันที่ 25 พ.ย.60

นางพรทิพย์ นามสมมุติ อายุ 45 ปี มารดา แจ้งว่ามีผู้ชายใช้โทรศัพท์ของนายสมพงษ์ นามสมมุติ อายุ 25 ปี พี่ชาย เข้ามาแจ้งว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมนายสมพงษ์ เนื่องจากมีปัสสาวะเป็นสีม่วงและพบยาเสพติดจำนวน 10 เม็ด  ขอให้มารดากดรับเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กซึ่งจะมีข้อเสนอเพื่อไม่ให้พี่ชายถูกจับกุมดำเนินคดี

หลังจากมารดารับเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก  ชายคนดังกล่าวได้ส่งข้อความแจ้งว่านายสมพงษ์โดนจับเนื่องจากมีปัสสาวะเป็นสีม่วง และถูกลูกน้องยัดยาบ้าให้จำนวน 10 เม็ด เหตุเกิดในอำเภอหนึ่งของจังหวัดมุกดาหาร   หากดำเนินคดีก็จะต้องติดคุก 5-6 ปี เสียเงินอีก 300,00 บาท แต่มีข้อเสนอว่าจะยอมปล่อยตัวพี่ชายหากแม่ยอมไปมีเพศสัมพันธ์ด้วย ทำให้มารดารู้สึกตกใจกังวลกับเรื่องที่เกิดขึ้น 

เบื้องต้น ครอบครัวได้โทรเช็คไปยังสถานีตำรวจที่ถูกอ้างว่าเป็นผู้จับกุมว่าได้มีการตั้งด่านและจับกุมนายสมพงษ์ จริงหรือไม่ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็แจ้งว่ายังไม่ได้มีการตั้งด่านหรือจับกุมนายสมพงษ์แต่อย่างใด

หลังจากที่โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ครอบครัวยังไม่มั่นใจจึงได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจที่ถูกกล่าวอ้างเพื่อตรวจสอบการจับกุมอีกครั้ง ขณะที่กำลังให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ชายคนที่อ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ได้ส่งข้อความมาสอบถามว่าจะยอมรับข้อเสนอหรือไม่ หากไม่รับก็เตรียมหาศพพี่ชาย หรือจะรับข้อเสนอใหม่ ให้มารดาของตนถ่ายรูปอวัยวะเพศส่งไปให้ดูทางเฟซบุ๊ก แล้วจะยอมปล่อยพี่ชาย

ด้าน พนักงานสอบสวนเจ้าของท้องที่ถูกกล่าวอ้างในจังหวัดมุกดาหาร เห็นข้อความการสนทนาทั้งหมดจนมีการวางแผนให้มารดายอมรับข้อเสนอให้ไปเจอกันที่รีสอร์ทแห่งหนึ่ง เพื่อให้ชายที่อ้างว่าเป็นตำรวจออกมาหาแต่คาดว่าชายคนดังกล่าวไหวตัวทัน จึงส่งข้อความมาบอกว่ามีตำรวจเพียบเลยนะ จากนั้นก็ขาดการติดต่อไป
ด้าน นางพรทิพย์ ได้เปิดเผยอีกว่า ในช่วงเย็นวันเดียวกัน (25 พ.ย.) ตนเองก็ได้รับการติดต่อทางเฟซบุ๊กอีกครั้งโดยครั้งนี้ชายที่อ้างตัวเป็นตำรวจได้แจ้งว่าจะปล่อยตัวลูกชาย โดยมีข้อตกลงว่าห้ามนำเรื่องนี้เข้าให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเด็ดขาดไม่อย่างนั้นรายต่อไปจะเป็นตัวเล็ก ซึ่งหมายถึงลูกสาวพร้อมทั้งคนในครอบครัว   

ตอนนี้นายสมพงษ์ยังไม่ฟื้น หากได้สติเมื่อไหร่ลูกชายจะกลับบ้านเอง รุ่งขึ้น (26 พ.ย.) ประมาณ 11.00 น. นายสมพงษ์ ได้กลับถึงบ้านโดยมีอาการปวดหัวหน้าซีดมึนงง จำเหตุการณ์ไม่ได้ไม่หมด ทรัพย์สินทั้งหมดหายไปเพียงเงิน 500 บาท อย่างอื่นยังอยู่ครบ

นายสมพงษ์  ผู้เสียหาย เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ก่อนวันเกิดเหตุตนเองได้ทะเลาะกับแฟนจนดึก เช้าวันรุ่งขึ้นคือวันเกิดเหตุตนได้ขับรถจักรยานยนต์ ไปตามถนนสายยุทธ์ศาสตร์ ขาออกมุ่งหน้าสามแยกถ้ำเสือระหว่างทางตนพบชาย 3 คน แต่งกายคล้ายตำรวจ 1 นาย และคล้ายทหารอีก 2 ราย มีกรวยตั้งอยู่กลางถนนและมีรถกระบะโตโยต้า สีดำ จอดอยู่ข้างทาง

เมื่อถึงจุดตรวจชายคนที่แต่งกายคล้ายตำรวจได้เข้ามาบิดกุญแจรถก่อนถามตนว่าได้จอดที่ไหนหรือไม่ ขอค้นกระเป๋าหน่อยด้วยความบริสุทธิ์ใจตนก็ยอมให้ค้นโดยไม่ได้มองการตรวจค้น  จนชายที่แต่งกายคล้ายตำรวจบอกว่ามียาบ้า 10 เม็ด

ตนก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตนหลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้ยึดกุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ ก่อนจะให้ตนเองกดเบอร์โทรศัพท์ของแม่ และใส่กุญแจมือปิดตาไปที่ใดไม่ทราบซึ่งเป็นห้องมืด ตนโดนบังคับให้ดื่มน้ำที่มีรสชาติขมไม่นานก็รู้สึกมึน งง ปวดหัวจำไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ผ่านไป 1 วัน ตนตั้งสติได้จึงได้ติดต่อบอกมารดาว่าปลอดภัยดี กำลังจะกลับบ้าน

นางพรทิพย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตอนนี้คนในบ้านยังคงรู้สึกหวาดกลัวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ระแวงคนแปลกหน้าที่เข้ามาพูดคุยด้วย ด้านคดีตนเองไม่ได้คิดจะเอาเรื่องเอาความอะไร เพราะตนเองก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก ลูกชายก็ปลอดภัย

แต่ยังสงสัยว่า บุคคลทั้ง 3 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร จริงหรือไม่ หรือเป็นมิจฉาชีพที่ออกมาก่อเหตุ และเหตุใดต้องเอาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์มาเป็นเงื่อนไข ในการต่อรองปล่อยตัวลูกชาย ส่วนที่ลูกสาวออกมาพูดเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะอยากจะให้สังคมได้รับรู้ว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ ครอบครัวของตนอาจจะไม่ใช่รายแรกที่ถูกกระทำเช่นนี้


ที่มา  http://news.sanook.com