มะเร็งปากมดลูกป้องกันได้

[webmaster]

“ตรวจภายในเหรอคะ ไม่เอาค่ะ อายหมอ” , “ยังไม่ได้เป็นอะไร ไม่รู้จะตรวจไปทำไมค่ะ” , “กลัวเจ็บค่ะหมอ” หลากหลายเหตุผลที่แพทย์ทุกคนต้องเคยได้ยินจากปากผู้ป่วย ถึงสาเหตุของการไม่ได้ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกประจำปี

 

 

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของมะเร็งในผู้หญิงไทย เกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV หรือ Human papilloma virus เข้าไปในรอยถลอกบริเวณปากมดลูก ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ การศึกษาพบว่ามะเร็งชนิดนี้อาจใช้เวลาถึง 10 ปี ในการเกิดโรค โดยระยะแรกของโรคมักไม่แสดงอาการ กว่าจะมีอาการเตือน ตัวโรคมักลุกลามไปมากแล้ว การป้องกันโรคและการตรวจคัดกรองตั้งแต่เนิ่นๆ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ปัจจุบันมีหลายวิธีที่ทางแพทย์พยายามพัฒนาเพื่อลดอุบัติการณ์การเกิดโรคของมะเร็งกลุ่มนี้ เพราะหากเราพบตัวโรคไว โอกาสที่จะรักษาหายขาดมีมากขึ้นถึง 80%

 

 

ป้องกันไว้ก่อนหมอสอนไว้

 

• หากคุณเป็นผู้หญิงรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ คุณสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วยการฉีดวัคซีน HPV ซึ่งปัจจุบันสามารถคลุมเชื้อไวรัสกลุ่มนี้ได้มากถึง 4 สายพันธุ์ และในอนาคตอาจมีวัคซีนที่คลุมมะเร้งกลุ่มนี้ได้ถึง 9 สายพันธุ์ ข่าวดีก็คือ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าอาจมีนโยบายฉีดวัคซีน HPV ฟรีให้แก่นักเรียนหญิงชั้น ป.5 ในประเทศไทยทุกคนด้วยค่ะ

 

 

• หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน (เพราะเสี่ยงที่จะเจอคนที่มีโรคได้มากขึ้น) การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร (งานวิจัยพบว่า ปากมดลูกของเราจะบอบบางเป็นพิเศษช่วงอายุ 16-17 ปี การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรเร็วเกินไป เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูกมากขึ้น)

 

 

• ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ปัจจุบันประเทศไทยสนับสนุนให้สตรีที่อายุมากกว่า 30 ปี เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกประจำปีอย่างสม่ำเสมอ โดยวิธีที่เรียกว่า PAP smear ซึ่งใช้เวลาไม่นาน ไม่เจ็บ และถือเป็นการได้ตรวจสุขภาพของระบบสืบพันธุ์ประจำปีร่วมด้วย

 

 

• รีบมาพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวมีกลิ่นเหม็น เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น มาพบหมอเถอะค่ะ อย่าปล่อยไว้นาน

 

 

โรคนี้ระยะเริ่มต้นไม่แสดงอาการ แต่สามารถตรวจพบได้ ถ้าเจอเร็วหรือเจอไว ยังสามารถรักษาให้หายขาดได้อีก เมื่อเทียบกับความรู้สึกอายหรือกลัวเจ็บแล้ว การมาตรวจมีผลดีกับเรามากกว่าตั้งเยอะ




ที่มา...http://health.haijai.com/4309/