หากคุณเป็นคนหนึ่งที่มีความกังวลใจเรื่องน้ำหนักตัวหรือการมีไขมันสะสมส่วนเกินบนร่างกาย และกำลังมองหาวิธีการลดความอ้วน รวมถึงวิธีการกำจัดไขมันเฉพาะส่วนที่อาจไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกาย การสลายไขมันด้วยความเย็น ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ Hello คุณหมอ จึงนำเรื่องนี้มาฝากกัน
สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) เป็นอย่างไร
การสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. Food and Drug Administration หรือ FDA) ในปีค.ศ. 2010 ว่าเป็นการรักษาไขมันที่เห็นผลลัพธ์ได้ในบริเวณใต้คาง ใต้ขากรรไกร ต้นขา หน้าท้อง เอว เนื้อปลิ้นตรงขอบชุดชั้นใน (Back Fat) และบริเวณบั้นท้าย (Underneath the buttocks) หรือที่เรียกกันว่า “ม้วนกล้วย” นอกจากนี้ยังได้รับการรับรองจาก FDA ว่า มีผลต่อลักษณะของเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยด้วยการรักษาบริเวณใต้ผิวหนัง ซึ่งขั้นตอนของการสลายไขมันด้วยความเย็นนั้นถือว่าไม่ใช่การรักษาเพื่อลดน้ำหนัก
การศึกษาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า การสลายไขมันด้วยความเย็น เป็นขั้นตอนการลดไขมันที่มีประสิทธิภาพ การสลายไขมันด้วยความเย็นเป็นกระบวนการทางการแพทย์แบบไม่รุกล้ำ ที่ช่วยในการขจัดเซลล์ไขมันส่วนเกินออกจากใต้ผิวหนัง ในฐานะที่เป็นวิธีการรักษาแบบไม่รุกล้ำ จึงมีประโยชน์หลายประการมากกว่าขั้นตอนการผ่าตัดเอาไขมันออกแบบดั้งเดิม ซึ่งการสลายไขมันด้วยความเย็นนี้ กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในสหรัฐอเมริกาถึง 823 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ข้อดีของการสลายไขมันด้วยความเย็น เมื่อเทียบกับการดูดไขมันแบบดั้งเดิม
การสลายไขมันด้วยความเย็น จะมีประสิทธิภาพสูงสุด เมื่อคุณเลือกรับการรักษาจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ พร้อมการวางแผนที่เหมาะสมและเข้ารับการรักษาหลายๆ ครั้ง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง ซึ่งการสลายไขมันด้วยความเย็นมีประโยชน์มากกว่าการดูดไขมันแบบดั้งเดิม ดังนี้
ไม่ต้องผ่าตัด
ไม่มีการรุกล้ำบริเวณอื่นๆ
ไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้น
การสลายไขมันด้วยความเย็น ได้ผลจริงหรือไม่
สลายไขมันด้วยความเย็นจะใช้กระบวนการที่เรียกว่า “การกำจัดไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis)” กระบวนการนี้มีการทำงานด้วยการวางม้วนไขมันเป็น 2 แผง เพื่อทำให้ไขมันเย็นลงจนถึงอุณหภูมิเยือกแข็ง
การศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ในปีค.ศ. 2009 ได้ตรวจสอบประสิทธิภาพทางคลินิกที่ให้บริการกำจัดไขมันด้วยความเย็น โดยนักวิจัยพบว่า การกำจัดไขมันด้วยความเย็น ช่วยลดชั้นไขมันที่ได้รับการรักษาได้ถึง 25 เปอร์เซ็นต์ และผลการรักษายังจะคงปรากฏอยู่ 6 เดือนหลังจากการรักษา เซลล์ไขมันที่ตายแล้วซึ่งถูกแช่แข็ง และถูกขับออกจากร่างกายทางตับภายในไม่กี่สัปดาห์ หลังจากได้รับการรักษาจะเผยให้เห็นผลลัพธ์ของการสูญเสียไขมันอย่างเต็มที่ภายใน 3 เดือน บางคนที่ทำการ สลายไขมันด้วยความเย็น มักจะเลือกที่รักษาในหลายๆ ส่วนของร่างกาย เช่น
ต้นขา
หลังส่วนล่าง
ท้องด้านข้าง
นอกจากนี้ การสลายไขมันด้วยความเย็น ยังสามารถช่วยลดการเกิดเซลลูไลท์ที่ขา ก้น และแขน นอกจากนั้น บางคนยังใช้เพื่อลดไขมันส่วนเกินใต้คางอีกด้วย ส่วนเวลาในการสลายไขมันด้วยความเย็นจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการรักษาแต่ละส่วนของร่างกาย การรักษาส่วนต่างๆ ของร่างกายต้องใช้การรักษาด้วยการสลายไขมันด้วยความเย็นมากขึ้น เพื่อให้เห็นผลลัพธ์ ในส่วนบริเวณที่กว้างของร่างกายอาจต้องการการรักษามากกว่าส่วนที่มีขนาดเล็ก
อย่างไรก็ตามเมื่อคุณได้รับบริการสลายไขมันด้วยความเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถขับรถกลับบ้านได้ทันทีหลังจากเสร็จการรักษาและกลับไปทำกิจกรรมตามปกติได้ทันที
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการสลายไขมันด้วยความเย็น
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจาก การสลายไขมันด้วยความเย็น ได้แก่
รู้สึกตึงบริเวณที่ทำการรักษา เมื่อแพทย์วางม้วนไขมันระหว่างแผง
ความรู้สึกเจ็บ ปวด แสบ หรือปวดบริเวณที่ทำการรักษา 2 สัปดาห์หลังการรักษา ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นมักจะหายไปเอง โดยไม่ต้องรับการรักษาเพิ่มเติม
รอยแดง บวม ช้ำ และความไวของผิวหนังในระยะสั้นที่บริเวณที่ทำการรักษา
การเพิ่มขึ้นของปริมาณเซลล์ไขมันในส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ได้รับการรักษา ถือเป็นกรณีที่หาได้ยากมากในการสลายไขมันด้วยความเย็น ซึ่งยังไม่ทราบเหตุผลที่แน่ชัดว่าทำไมถึงเกิดขึ้นได้ แต่มักจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ซึ่งมีให้เห็นน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ควรระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นนี้ คนส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบนี้จะถูกเรียกว่า “ภาวะไขมันในเลือดสูงเกินกว่าปกติ” จึงควรจะเลือกใช้วิธีการกำจัดไขมันแบบทางเลือก เช่น การดูดไขมันแบบดั้งเดิม เป็นต้น
หากคุณกำลังพิจารณาการสลายไขมันด้วยความเย็นอยู่ คุณควรชั่งน้ำหนักระหว่างผลประโยชน์ที่จะได้รับกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น จากนั้นลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูว่า การสลายไขมันด้วยความเย็น นั้น เหมาะสมกับคุณหรือไม่
ที่มา...
https://www.sanook.com/health/25913/