ผู้เขียน หัวข้อ: เอฟบีไอเปิดเผยรายงานลับชิ้นแรกในโอกาสครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์วินาศกรรม 9/11  (อ่าน 118 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์



กรุงวอชิงตัน — สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ เปิดเผยรายงานที่ถูกยกเลิกชั้นความลับซึ่งเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนผู้ก่อการร้ายชาวซาอุดิอาระเบียสองคนที่จี้เครื่องบินเพื่อโจมตีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 หรือเหตุการณ์ 9/11

เอกสารดังกล่าวระบุถึงการติดต่อระหว่างผู้จี้เครื่องบินกับพลเมืองชาวซาอุฯ ในสหรัฐฯ แต่มิได้มีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลซาอุฯ มีส่วนร่วมในการวางแผนก่อการร้ายครั้งนี้

ทั้งนี้ เอกสารชิ้นดังกล่าวเปิดเผยในโอกาสครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 9/11 ถือเป็นเอกสารการสืบสวนชิ้นแรกที่ได้รับการเปิดเผยต่อสาธารณชนนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน มีคำสั่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทบทวนเอกสารลับต่างๆ ว่าชิ้นไหนสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ในช่วงหกเดือนข้างหน้า

เอกสารความยาว 16 หน้า สรุปคำสัมภาษณ์ของเอฟบีไอเมื่อปี ค.ศ. 2015 ต่อชายผู้หนึ่งที่ติดต่อกับพลเมืองชาวซาอุฯ ในสหรัฐฯ ซึ่งให้การสนับสนุนผู้ก่อการร้ายให้เดินทางเข้าประเทศก่อนที่จะเกิดการโจมตี

แรงกดดันจากครอบครัวผู้เสียชีวิตใน 9/11
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถูกกดดันจากครอบครัวของผู้เสียชีวิตที่ต้องการให้รัฐบาลเปิดเผยเอกสารลับต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลซาอุฯ ในการโจมตี 9/11 เพื่อนำไปใช้ในการฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป

การเปิดเผยเอกสารลับชิ้นแรกนี้มีขึ้นในคืนวันเสาร์ที่ 11 กันยายน ตามเวลาในสหรัฐฯ ไม่กี่ชั่วโมงหลังจาก ประธานาธิบดีไบเดน เดินทางไปเยี่ยมเยือนอนุสรณ์สถาน 9/11 สามแห่งในนครนิวยอร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย และชานกรุงวอชิงตัน โดยก่อนหน้านี้บรรดาครอบครัวผู้เสียชีวิตต่างปฏิเสธไม่ให้ผู้นำสหรัฐฯ เดินทางไปยังอนุสรณ์สถานเหล่านั้นจนกว่าจะมีการเปิดเผยเอกสารดังกล่าว

ที่ผ่านมารัฐบาลซาอุฯ ปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับการโจมตีเมื่อ 20 ปีที่แล้ว โดยสถานทูตซาอุฯ ประจำกรุงวอชิงตัน กล่าวสนับสนุนการเปิดเผยเอกสารลับทั้งหมดอย่างเต็มที่ เพื่อยุติข้อกล่าวหาที่ไร้หลักฐานและไม่เป็นความจริง

ในขณะที่ทางครอบครัวของผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์วินาศกรรม 9/11 ต่างแสดงความยินดีต่อการเปิดเผยเอกสารลับชิ้นแรกนี้ จิม ไคลด์เลอร์ ทนายความของบรรดาครอบครัวผู้เสียชีวิต ออกแถลงการณ์ว่า เอกสารการสอบสวนของเอฟบีไอช่วยพิสูจน์ข้อถกเถียงเกี่ยวกับบทบาทของรัฐบาลซาอุฯ ในการโจมตีครั้งนี้ ประกอบกับหลักฐานอื่นๆ ที่รวบรวมมาได้ ช่วยชี้ให้เห็นว่ากลุ่มอัลเคดาเคลื่อนไหวอยู่ในสหรัฐฯ ด้วยความช่วยเหลือจากรัฐบาลซาอุฯ ก่อนที่จะเกิดการโจมตีในเหตุการณ์ 9/11

ทนายไคลด์เลอร์ ระบุว่า หลักฐานดังกล่าวรวมถึงบันทึกการสื่อสารทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลซาอุฯ กับเครือข่ายอัลเคดา และ "การนัดพบโดยบังเอิญ" และจัดหาความช่วยเหลือด้านที่อยู่และโรงเรียนการบินให้แก่คนร้ายจี้เครื่องบินสองคนด้วย

เอกสารที่เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ระบุว่า เจ้าหน้าที่อเมริกันได้สืบสวนนักการทูตชาวซาอุฯ และผู้ที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลซาอุฯ ซึ่งรู้จักกับผู้จี้เครื่องบินหลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม รายงานของคณะกรรมการ 9/11 ระบุว่า ไม่มีหลักฐานว่ารัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของซาอุฯ ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ก่อการร้ายเหล่านั้น แต่ทั้งนี้ องค์กรการกุศลหลายแห่งที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลซาอุฯ อาจเป็นผู้สนับสนุนทางอ้อมด้านการเงินแก่กลุ่มอัลเคดาได้

การพบกันด้วยความบังเอิญ?
เอกสารลับที่เพิ่งถูกเปิดเผยนี้พุ่งเป้าไปที่ผู้ก่อเหตุจี้เครื่องบินสองคน คือ นาวาฟ อัล-ฮาซมี และ คาลิด อัล-มีห์ดฮาร์ ซึ่งเป็นผู้ก่อการร้ายชุดแรกที่เดินทางมาถึงสหรัฐฯ และเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2000 ทั้งสองคนได้พบกับโอมาร์ อัล-บายูมี ชาวซาอุฯ ในอเมริกาที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลซาอุฯ ซึ่งช่วยเหลือพวกเขาเช่าอพาร์ทเมนต์ในนครซานดิเอโก ทางใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย

นายบายูมี กล่าวกับเจ้าหน้าที่เอฟบีไอระหว่างการสืบสวนว่า การพบปะของตนกับผู้ก่อเหตุทั้งสองคนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งนั้น "เกิดขึ้นโดยบังเอิญ" อย่างไรก็ตาม เอฟบีไอเปิดเผยว่า จากการสัมภาษณ์ชายผู้หนึ่งที่สมัครขอสถานะพลเมืองสหรัฐฯ เมื่อปี ค.ศ. 2015 ชายผู้นั้นซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อในเอกสาร กล่าวว่า ได้ติดต่อกับพลเมืองชาวซาอุฯ หลายคนที่เชื่อว่าเป็นผู้จัดหาความช่วยเหลือให้กับผู้ก่อการร้ายหลายคนใน 9/11 ซึ่งรวมถึงนายบายูมี และนายฟาฮัด อัล-ตูไมรี เจ้าหน้าที่ที่เคยทำงานในสถานกงสุลของซาอุฯ ประจำนครลอสแอนเจลีส

ทั้งนี้ นายบายูมีและนายอัล-ตูไมรี เดินทางออกจากสหรัฐฯ หลายสัปดาห์ก่อนที่จะเกิดการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001

(ข้อมูลบางส่วนจากสำนักข่าวเอพี)


ที่มา...https://www.sanook.com/news/8442202/