ผู้เขียน หัวข้อ: โรคพิลึก ไม่สยอง ไม่ประหลาด แค่ดูไม่ฉลาดเท่านั้นเอง  (อ่าน 642 ครั้ง)

ออฟไลน์ beebee

  • medtech ปี เอก
  • ******
  • กระทู้: 1550
    • อีเมล์
โรคพิลึก ไม่สยอง ไม่ประหลาด แค่ดูไม่ฉลาดเท่านั้นเอง
 



โรคพิลึก ไม่สยอง ไม่ประหลาด แค่ดูไม่ฉลาดเท่านั้นเอง
 

 Academic Underachievement  เป็นลักษณะอาการแปลกๆ ที่เกิดกับเด็กที่มีระดับเชาวน์ปัญญา (I.Q.)ปกติ แต่ผลการเรียนกลับไม่ได้ผลดีตามระดับสมองเลย เกรดต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ โดยวัดจากระดับผลการเรียนทางวิชาการเท่านั้น        academic หมายถึง วิชาการ   underachievement   คือ ผลสัมฤทธิ์ต่ำกว่าที่ควร   เป็นลักษณะที่เห็นได้ในเด็กที่อาจที่ทำกิจกรรมเก่ง ตอบคำถามในห้องได้ หัวไว เรียนรู้เร็ว เราเองก็มองว่าเจ้าเพื่อนคนนี้ ต้องเรียนเก่งแน่ๆ เลย แต่ผลกลับออกมาว่า ไม่ยักเรียนเก่งแฮะ คนที่มีลักษณะของ Academic Underachievement นี้ บางคนก็กังวลใจมากที่ผลการเรียนไม่ดีเท่าไหร่ แต่ส่วนใหญ่กลับเป็นกลุ่มที่เฉยชา ไม่สนใจการเรียน หรือไม่สนใจว่าผลการเรียนจะเป็นอย่างไร

ลักษณะสำคัญที่ปรากฎ เช่น
 1. ทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ล่าช้ากว่ากำหนด ไม่สนใจงาน ครูไม่ทวง ตัวเองก็ไม่ทำ
 2. ระดับผลการเรียนต่ำกว่าระดับเชาวน์ปัญญา
 3. เรียนไม่เก่ง แต่ทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ดี มีความรู้อื่นๆ นอกเหนือตำราเรียนดี
 4. มีเรื่องวิตกกังวล ตึงเครียดมาก จากเรื่องการเรียนหรือเรื่องอื่นๆ จนขัดขวางความสามารถที่แท้จริงของเด็ก
 5. ไม่เห็นคุณค่าในตนเอง ทำให้ไม่รู้จักพัฒนาตนเอง (ไม่รู้จะทำให้สำเร็จไปทำไม)
 6. ระบบการเรียน วิธีการสอน สิ่งแวดล้อมในโรงเรียนไม่เหมาะกับลักษณะการเรียนรู้ของเด็ก

        สาเหตุที่ทำให้เด็กเกิดลักษณะของโรคนี้ ส่วนมากจะเป็นสาเหตุทางจิตใจที่เกิดได้จากทั้งปัจจัยภายนอก อย่างเรื่อง
 
(1) กดดันในครอบครัว พ่อแม่เป็นไม่สนใจหนังสือหนังหาอยู่แล้ว อยากให้ลูกรีบๆ เรียนให้จบจะได้ออกมาช่วยทำมาหากิน พ่อแม่เองก็ไม่เห็นคุณค่าของการเรียน แล้วลูกจะไปสนใจเรียนได้อย่างไร
(2)ครู ครูส่วนหนึ่งแนวโน้มว่าจะสนใจคนเรียนเก่งมากกว่าเรียนไม่เก่ง เลยยิ่งไม่ได้รับความสนใจจากครู
 (3)เพื่อน เด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มจะทำตามกลุ่ม ถ้าเพื่อนเป็นกลุ่มไม่เรียน ก็ไม่เรียนตามเพื่อนด้วย และ
(4)ปัจจัยในใจตนเอง อย่าง นิสัยเอื่อยเฉื่อย ไม่สนใจอะไรรอบตัว หรือกลัวถูกคาดหวังและความผิดพลาด จากวันหนึ่งที่เรียนเก่งแต่จู่ๆ ก็กลัวพลาด กลัวพ่อแม่จะว่า กดดันตัวเองมากจนเป็นปัญหาทางจิตใจและส่งผลต่อการเรียนในที่สุด
 
ยิ่งถ้าเป็นเด็กอัจฉริยะ อาจรำคาญใจที่มาเรียนในชั้นที่ไม่ใช่ระดับความสามารถตนเอง อย่างอายุจริงเท่า ม.1 สมองเท่าม.4 แต่เรียนม.2 ตัวเองก็เบื่อ เลยพาลไม่ตั้งใจเรียนไปซะเลย มีงานก็ไม่ส่ง ครูสอนก็ไม่ฟัง อาจไม่มาสอบด้วยซ้ำ เลยทำให้ไม่มีคะแนนและผลการเรียนก็ออกมาไม่ดี หรืออาจเข้ากับเพื่อนต่างวัยไม่ได้ เป็นต้น รวมๆ แล้วสาเหตุที่จะทำให้เกิดลักษณะอาการของโรคนี้เองก็ยังคาบเกี่ยวกับสาเหตุของโรคอีกหลายๆ โรคเลยค่ะ


 ลักษณะอาการแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดง่ายๆ นะคะ ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นปัจจัยที่เกิดจากความกดดันคะ เรียกว่า เป็นอาการที่เกิดจากจิตใจมากกว่าพฤติกรรม ดังนั้น ถ้าใครขี้เกียจเฉยๆ เกียจคร้านไปตามเรื่องตามราวด้วยตนเอง ก็ไม่ได้เป็นโรคนี้นะ แล้วโดยส่วนมากแล้วจะมีแนวโน้มว่าจะเกิดกับเด็กที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิชาการ กลุ่ม Gifted มากกว่าเด็กทั่วไปค่ะ แล้วอาจถูกวินิจฉัยร่วมกับอาการสมาธิสั้น บกพร่องทางการเรียนรู้ หรือปัญหาทางอารมณ์และสังคมก็ได้ แต่ต้องสังเกตและพิจารณาควบคู่ไปกับพฤติกรรมที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย คือ เคยมีผลการเรียนดีอยู่ แล้วค่อยๆ ผลการเรียนต่ำลงเรื่อยๆ ทั้งที่ดูไม่มีปัญหาอะไรเป็นเกรดพรวดพราด เป็นครั้งคราว แล้วกลับมาเกรดเท่าเดิมก็ไม่ใช่ค่ะ


        ที่สำคัญกลุ่มอาการแบบนี้ต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์หรือนักจิตวิทยาเท่านั้นนะคะ  ไปคิดเอง เออเอง ว่าตัวเองมีอาการ Academic Underachievement ไม่ได้นะจ๊ะ และไม่ว่าจะเรียนเก่งหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลอะไร เราก็ไม่ควรไปตราหน้าเพื่อนคนไหนว่า "แกมันเรียนไม่เก่ง แกต้องเป็นโรคนี้แน่ๆ" การถูกตราหน้าจากคนอื่นไม่เป็นผลดีกับใครเลย แม้จะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงมากๆ ก็ตาม รังแต่จะทำให้เสียความมั่นใจในตนเองมากขึ้นด้วยซ้ำ


   ที่นำมาให้อ่านกัน ก็ถือว่าเป็นความรู้ค่ะ เพราะ จริงๆ คนเราอาจจะเจอกับเรื่องกดดันอะไรในชีวิตจนทำให้คิดและเป็นอย่างที่ไม่ควรแบบนี้ เช่น ตนเองคิดอยู่เสมอว่า ทำไมต้องพยายาม ทำอะไรทั้งที่ไม่มันไม่มีอะไรดีขึ้น หรือถ้าได้คะแนนดี ก็จะคิดว่ามันบังเอิญ ฟลุ๊กมากกว่า  คือ ถ้าเราคิดกับตนเองแบบนี้แต่แรก ผลของมันก็คือการไม่เชื่อว่าตนเองจะทำอะไรได้สำเร็จอยู่แล้วค่ะ  ที่เขาเรียกกันว่า การเห็นคุณค่าในตนเองต่ำ หรือ low self-esteem   และมันก็อาจเป็นลักษณะหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำนี่แหละค่ะ พี่เกียรติไม่อยากให้ใครมีความคิดในใจแบบไม่เชื่อกระทั้งใจตนเองแบบนี้นะ


บางทีเรื่องจิตใจก็เข้าใจยากนะคะ บางทีสมองดีก็จริง 
แต่หัวใจหม่นหมอง ก็ไม่ทำให้เรามีความสุขหรอกเนอะ 

เพราะฉะนั้นจงมั่นใจในสมองและสองมือของตนเอง และทำสิ่งที่ดีด้วยความตั้งใจกันเถอะ!