ผู้เขียน หัวข้อ: สั่งเข้ม 30 จังหวัดชายแดนจับตา “มาลาเรีย”  (อ่าน 1784 ครั้ง)

ออฟไลน์ IloveMT

  • medtech ป โท
  • *****
  • กระทู้: 289
    • อีเมล์


       สธ.เผยปีนี้พบผู้ป่วยโรคมาลาเรียแล้ว 4,204 ราย จาก 64 จังหวัด เสียชีวิต 2 ราย โดยช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่พบผู้ป่วยสูงสุดมากกว่า ร้อยละ 50  ของผู้ป่วยตลอดปี กำชับให้พื้นที่เสี่ยง 30 จังหวัดชายแดน ออกให้ความรู้กับประชาชนให้นอนกางมุ้งในเวลากลางคืนและป้องกันไม่ให้ยุงกัด หากเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อยู่ในป่าเขา ให้ใช้มุ้งชุบสารเคมีและที่สำคัญเมื่อป่วยต้องรีบมาพบแพทย์ และขอให้กินยาให้ครบถ้วนตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา
      
                                    
      
       วันนี้ (25 พ.ค.) ที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จ.จันทบุรี นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดประชุมวิชาการประจำปี 2554 พระปกเกล้าวิชาการ ครั้งที่ 9  “พระปกเกล้า...สร้างเสริมสุขภาพสู่ชุมชน”  เพื่อพัฒนาวิชาการเสริมสุขภาพสู่ชุมชน ส่งเสริมสนับสนุนการทำผลงานวิชาการ นำเสนอ แลกเปลี่ยนความรู้สาธารณสุข ของบุคลากรสาธารณสุข โดยมี แพทย์ บุคลากรสาธารณสุข ประชาชนเข้าร่วมกว่า  800  คน
      
       นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า โรคมาลาเรียยังเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทย  โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนของประเทศไทยที่มีบริเวณที่เป็นภูเขาสูง ป่าทึบ และมีแหล่งน้ำ ลำธาร อันเป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของยุงก้นปล่อง จังหวัดที่พบผู้ป่วยมาลาเรียส่วนใหญ่ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ตาก ตราด ระนอง กาญจนบุรี จันทบุรี สระแก้ว ประจวบคีรีขันธ์ ราชบุรี และชุมพร โดยมี ยุงก้นปล่องเป็นพาหะนำโรค ซึ่งไทยมีจังหวัดชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน 30 จังหวัด ได้แก่ชายแดนไทย-ลาว 11 จังหวัด ไทย-พม่า 10 จังหวัด ไทย-กัมพูชา 7 จังหวัด และไทย-มาเลเซีย 4 จังหวัด
      
       ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่ 1 มกราคม -18 พฤษภาคม 2554  พบผู้ป่วย 4,204 ราย จาก 64 จังหวัด เสียชีวิต 2 ราย มากสุดสัญชาติไทยร้อยละ 64 รองลงมาพม่าร้อยละ 21  โดยจังหวัดที่ผู้ป่วยมากที่สุดในประเทศ 10 จังหวัด ได้แก่ ตาก 1,962 ราย แม่ฮ่องสอน 222 ราย ระยอง 276 ราย กาญจนบุรี 211 ราย ยะลา 180 ราย ชุมพร 177  ราย จันทบุรี 136  ราย ราชบุรี 114 ราย พังงา 111 ราย และสุราษฎร์ธานี 93 ราย
      
                                                          
      
       นพ.ไพจิตร์กล่าวต่อว่า ทั่วโลกจะมีการระบาดของโรคไข้มาลาเรียสูงสุด ประมาณช่วงเดือนเมษายน-กรกฎาคมรวมทั้งประเทศไทยด้วย โดยในเดือนเมษายน-กรกฎาคม ปี 2553 พบผู้ป่วย 14,199 ราย คิดเป็นร้อยละ 55 ของผู้ป่วยมาลาเรียตลอดปี เฉพาะเดือนมิถุนายน พบผู้ป่วยมากถึง 5,359 ราย ดังนั้น ได้สั่งการให้ทุกจังหวัดที่เป็นพื้นที่เสี่ยง 30 จังหวัด ให้ความรู้กับประชาชนให้นอนกางมุ้งในเวลากลางคืนและป้องกันไม่ให้ยุงกัดหาก เป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง อยู่ในป่าเขา ให้ใช้มุ้งชุบสารเคมีที่นิยมคือไพรีทรอยด์ ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ยุงเป็นอัมพาตและตายภายใน 2 วินาทีไม่เป็นอันตรายต่อคน และที่สำคัญเมื่อป่วยต้องรีบมาพบแพทย์ และขอให้กินยาให้ครบถ้วนตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องเชื้อดื้อยา
      
       ในการการรักษา กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรคได้จัดบริการเชิงรุก โดยตั้งศูนย์มาลาเรียหรือมาลาเรียคลินิก ตรวจเชื้อและรักษาฟรีผู้ป่วยในชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ จำนวน 800 แห่ง ในพื้นที่ 30 จังหวัดตามแนวชายแดน ผู้ป่วยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล เน้นการรักษาที่รวดเร็วช่วยลดความรุนแรงของโรคและอัตราการเสียชีวิต รวมทั้งลดจำนวนแหล่งแพร่เชื้อให้ได้มากที่สุด โดยให้บริการทั้งคนไทยและต่างชาติ