ผู้เขียน หัวข้อ: โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease)  (อ่าน 2935 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์
โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease)
« เมื่อ: เมษายน 19, 2013, 11:00:46 am »
โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune disease)
"เมื่อวันดีคืนร้าย ภูมิคุ้มกันเพื่อนตาย กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด"



โดย พญ.อรณีย์ วิบูลย์อุทัย

โดยธรรมชาติเมื่อร่างกายของคนเราได้รับสิ่งแปลกปลอมเช่น เชื้อโรค หรือสารเคมีเข้าไปในร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกัน (Immune system) ซึ่งเป็นระบบป้องกันภัยของร่างกาย จะสร้างกลไกในการต่อต้าน ไม่ให้สิ่งแปลกปลอมนั้นทำอันตรายต่อร่างกายได้ แต่ไฉนเลย อยู่ๆกันไป ภูมิคุ้มกันเพื่อนตาย กลับกลายมาเป็นภูมิสังหารตนเองไปได้ จนเกิดโรคประหลาดที่ชื่อว่า แพ้ภูมิตนเอง หรือภูมิทำลายตนเองขึ้นมา

โรคภูมิทำลายตนเองไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือแพร่หลายนักในแรกเริ่ม เนื่องจากคนไข้สามารถมาพบแพทย์ด้วยอาการหลากหลายระบบ หรือแม้แต่เป็นอาการที่ไม่จำเพาะเจาะจงนัก จนกระทั่งมีนักร้องชื่อดังระดับตำนาน ซึ่งก็คือคุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ ได้เสียชีวิตไปจากโรคในกลุ่มนี้ ที่เรียกว่า โรค ลูปัส หรือ เอส แอล อี (SLE) ทำให้คนเริ่มรู้จักกันในชื่อ "โรคพุ่มพวง" แต่ถึงแม้จะเริ่มเป็นที่คุ้นหูกับคนทั่วไปบ้าง แต่โดยมากก็ยังไม่มีใครเข้าใจจริงๆนัก ว่าโรคนี้เป็นอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร หรือแม้แต่จะเฝ้าระวังตัวเองอย่างไร ที่จะรู้ได้ว่าตนเองเข้าสู่ภาวะโรคดังกล่าวแล้ว

คำจำกัดความง่ายๆ ของโรคภูมิทำลายตนเอง ก็คือ เป็นโรคที่ร่างกายมีการโจมตีตนเอง เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเรา สูญเสียความสามารถในการแยกแยะ ระหว่างเซลล์ที่เป็นของตนเอง กับเซลล์ของผู้รุกราน ทำให้ภูมิคุ้มกันของเราเบนเข็มมาโจมตีร่างกายตนเอง โดยสร้างสารโปรตีนที่เรียกว่า ออโตแอนติบอดี้ (Autoantibody) ซึ่งสารนี้ ทำให้เกิดการอักเสบ และความเสียหายในอวัยวะซึ่งเป็นเป้าโจมตี และหากเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกายก็อาจทำให้คนไข้สูญเสียชีวิตได้

ปัจจุบันมีโรคที่จัดอยู่ในกลุ่มโรคภูมิทำลายตนเอง มากกว่าร้อยชนิด อุบัติการณ์การเกิดโรค เพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่าตัวในทศวรรษที่ผ่านมา มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วย เป็นเพศหญิง สาเหตุของการเกิดโรค เชื่อว่ามาจากหลายปัจจัย มีการศึกษาวิจัยมากมาย แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น การติดเชื้อได้แก่ไวรัส แบคทีเรีย,สารพิษจากสิ่งแวดล้อม,ยาบางชนิด, แสงแดด

พื้นฐานกลไกการเกิดพฤติกรรมการทำลายตนเอง คือสิ่งที่เรียกว่า ความเหมือนกันทางโมเลกุล (Molecular mimicry) ระหว่างสิ่งแปลกปลอม กับเซลล์ร่างกายของเราเอง เช่น โปรตีนจากเซลล์ของเชื้อโรค หรือ แม้แต่อาหาร

อาการแรกเริ่มของโรคอาจไม่จำเพาะ คนไข้อาจมีอาการเพียง เหนื่อย เพลีย อ่อนล้าง่าย มึนงง ไข้ต่ำๆ ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือปวดข้อ จนกระทั่งมีอาการที่เริ่มรุนแรงหรือมีอาการแสดงของอวัยวะที่ถูกภูมิคุ้มกันทำลายชัดเจนขึ้นตามมา

โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองจำแนกกว้างๆได้เป็น
โรคที่มีการทำลายจำเพาะอวัยวะ (Organ specific) เช่น

มีการทำลายที่ตับอ่อนในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 DM)

มีการทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้ ในผู้ป่วย Inflammatory Bowel Disease

ภาวะที่มีการทำลายที่เม็ดสีในผิวหนัง ในผู้ป่วยโรคด่างขาว (Vitiligo)

มีการทำลายปลอกหุ้มเซลล์ประสาทในสมองและไขสันหลัง ในผู้ป่วย Multiple sclerosis

มีการอักเสบของต่อมไทรอยด์ ในผู้ป่วยโรค Hashimoto's thyroiditis

โรคที่มีการทำลายอวัยวะหลายระบบ (Systemic) เช่น

เอส แอล อี (SLE) เป็นโรคที่มีการทำลาย เยื่อบุ ผิวหนัง ข้อต่อ และอวัยวะภายในหลายระบบ โดยเฉพาะ ไต หัวใจ สมอง เม็ดเลือดแดง ผู้ป่วยอาจมาด้วยอาการ ผื่นรูปผีเสื้อบริเวณใบหน้า ผื่นแพ้แสงแดด ผมร่วง แผลในปาก ปวดข้อ หรือข้ออักเสบ มีไข้เรื้อรัง น้ำหนักลด ภาวะไตอักเสบทำให้มีอาการบวม, ปัสสาวะเป็นฟอง ภาวะซีดจากเม็ดเลือดแดงแตก หรือแม้แต่อาการทางสมอง เช่นมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง ปวดศีรษะ ชักเกร็ง

ข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) เป็นโรคที่มีการอักเสบและทำลายของข้อต่อต่างๆ ตามร่างกาย ทำให้เกิดอาการปวด บวม ข้ออักเสบ ข้อติดแข็ง หากเป็นเรื้อรังก็จะทำให้เกิดข้อผิดรูป หรือพิการตามมาได้

โรคหนังแข็ง (Scleroderma) เป็นโรคที่มีการอักเสบและทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเช่น ผิวหนังชั้นหนังแท้ ผู้ป่วยจะมีอาการผิวหนังแข็งหนา ตึง ที่ใบหน้า แขน ขา มือ ปลายนิ้วมือขาดเลือด ทำให้มีอาการปวดโดยเฉพาะเมื่อเจออากาศเย็น  ผนังลำไส้ เช่นหลอดอาหาร มีการตีบแข็ง ทำให้กลืนลำบาก หากเกิดที่ปอด ทำให้เกิดพังผืดที่ปอด ทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบากและอาจเสียชีวิตจากภาวะหายใจล้มเหลวได้
 
   

                   


การรักษาโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองในปัจจุบัน มุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการเจ็บปวด และลดการอักเสบโดย ใช้ยากลุ่ม NSAIDs (Non-steroidal anti-inflammatory drugs) ในรายที่อาการไม่รุนแรง หากรุนแรงขึ้นก็อาจต้องให้ร่วมกับยากลุ่มสเตียรอยด์ หรือ แม้แต่ยากดภูมิต้านทาน ซึ่งผลข้างเคียงของยาดังกล่าว มีมากมาย เช่น สเตียรอยด์ ทำให้ตัวบวมหน้าบวม เสี่ยงเบาหวาน กระดูกพรุน ติดเชื้อง่าย, ยากดภูมิคุ้มกันบางชนิด เป็นพิษต่อตับ ทำให้เม็ดเลือดขาวลดลง เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งไปแทน แต่ถามว่ายาผลข้างเคียงอันตราย ทำไมแพทย์จำเป็นต้องให้ ถ้าโรคลุกลามรุนแรง แพทย์ก็ต้องให้เพื่อลดการอักเสบที่อันตรายให้ลดลงมาก่อน เพื่อช่วยชีวิต และป้องกันความทุพพลภาพที่อาจเกิดตามมาของผู้ป่วย แต่ในระยะยาว เนื่องจากโรคเหล่านี้มักเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ต้องควบคุมอาการ หรือ แม้แต่บางคนต้องทานยาไปตลอด ดังนั้น คนไข้มีโอกาสจะเกิดโรคที่เกิดจากผลข้างเคียงของยาตามมาในที่สุด

การรักษาโรคภูมิทำลายตนเองที่ยังไม่ไปถึงต้นตอของโรค ก็เปรียบเสมือนพยายามไล่ดับไฟที่ลามออกไปตรงนู้นตรงนี้ โดยมิได้มาจัดการที่ต้นเพลิง ยิ่งนานวันก็ยิ่งอ่อนแรง เพราะไล่ดับไป ก็เหมือนจะไม่มีวันหมดเสียที คนที่ประสบกับโรคกลุ่มนี้เชื่อว่า จะเข้าใจความรู้สึกของการต่อสู้ในสงครามที่เหมือนจะไม่มีวันชนะได้เป็นอย่างดี หลายๆคนจีงเริ่มมองหาทางเลือกอื่นที่จะช่วยขจัดรากเหง้าของปัญหาไปได้

การรักษาแบบบูรณาการได้มองว่า ร่างกายมนุษย์มีความมหัศจรรย์ในตัวเอง จริงๆแล้วร่างกายคนเราทำงานโดยตอบสนองต่อเหตุที่เกิดอย่างตรงไปตรงมา การที่ร่างกายมีผลตอบสนอง(effect)เป็นภูมิคุ้มกันเกิดจากร่างกายพยายามจำกัดสิ่งที่ดูจะแปลกปลอม(cause)ให้ออกไปให้ได้ จากที่เราเห็น การเพิ่มขึ้นของอุบัติการณ์ของโรค ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตการกินอยู่ของคนในยุคปัจจุบัน การเพิ่มขึ้นของสารเคมีใหม่กว่า 80,000 ชนิด ตั้งแต่ปี 1900  คนในยุคปัจจุบันกำลังสะสมสารเคมีต่างๆอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัว มีงานวิจัยที่ตรวจสอบเลือดจากสายสะดือของทารกแรกเกิด พบสารเคมีจากอุตสาหกรรมกว่า 287 ชนิด เช่น ยาฆ่าแมลง,สารไดอ็อกซิน,เทฟลอน,โลหะหนัก(ปรอท,ตะกั่ว) ในเลือดสายสะดือของทารกที่ยังไม่ได้ออกมาเผชิญโลกภายนอกเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งการใช้ยาบางอย่างที่ส่งผลต่อสุขภาพของลำไส้ทำให้ โปรตีน หรือ สารพิษที่ปกติแล้วไม่ควรเข้าไปในระบบเลือดและน้ำเหลืองของร่างกายได้ สามารถเข้าไปกระตุ้นจนทำให้เกิดภูมิผิดปกติขึ้นมา

การรักษาของการแพทย์บูรณาการจึงประกอบไปด้วย
การลดการอักเสบในร่างกายโดย H.O.T (Hematogenous Oxidation Therapy) ซึ่งเป็นการใช้ปฏิกิริยาของออกซิเจนและแสงยูวีในช่วงคลื่นพิเศษ ทำให้การไหลเวียนของระบบหลอดเลือดฝอยดีขึ้น ออกซิเจนในเนื้อเยื่อสูงขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น และลดการอักเสบที่ทำร้ายร่างกายลงได้
การทำวัคซีนจากเลือดของผูป่วยเอง ( auto-vaccine ) เนื่องจากเลือดของผู้ป่วยมีโปรตีนที่ต่อต้านตัวเองอยู่เราจึงสกัดเอาสารก่อภูมินั้นมาทำเป็นวัคซีน เพื่อให้ร่างกายไปกำจัดเอาโปรตีนที่ไม่ต้องการดังกล่าวออกไป
การตรวจหาและกำจัดสารพิษสะสมในร่างกาย ( Test for total toxic load and Chelation) เพื่อแก้ปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับสาเหตุของการสร้างภูมิต่อต้านตนเองขี้นมา
การดูแลสุขภาพของลำไส้ (Gut Health) ซึ่งเป็นหน้าด่านของการรับอาหารและโปรตีนแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย และ ตรวจสอบเรื่องของ ภาวะแพ้อาหาร ( Food sensitivity test )
การปรับระบบภูมิคุ้มกันและซ่อมแซมอวัยวะที่เสียหายด้วย สารสกัดจากเซลล์ ( Cytoplasmic therapy)
การให้สารอาหาร (Nutraceuticals) ที่ช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกาย,ทำให้ระบบขับสารพิษทำงานดีขึ้น และ ช่วยปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน
ถ้ามองในมุมกว้างขึ้น เราจะเข้าใจว่า โรคภูมิทำลายตนเอง เกิดมาอาจเพื่อเป็นสัญญาณเตือน ให้เรากลับมามองรูปแบบชีวิตที่เราใช้อยู่ว่า ทำไมอยู่ดีๆร่างกาย กลับมาประท้วงตัวเองไปได้ เรากำลังทำอะไรผิดเส้นทางอยู่หรือไม่ เมื่อเราคิดว่า เราจะกลับมากุมบังเ***ยนที่จะแก้ปัญหาที่รากเหง้า และใช้ชีวิตอย่างมีสมดุลขึ้น เชื่อว่า สงครามที่ดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด ต้องจบลงแบบเราเป็นผู้ชนะได้อย่างแน่นอน