ผู้เขียน หัวข้อ: ส.ส.เพื่อไทย จี้รัฐบาล แจกเงินไปเศรษฐกิจก็ไม่ฟื้น ผู้นำต้องรู้ตัว อย่าทำอะไรเกิน  (อ่าน 236 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์



"เพื่อไทย" ห่วง เศรษฐกิจไทยทรุดหนัก ชี้ เพียงแค่แจกเงินเศรษฐกิจจะไม่ฟื้น แนะ ผู้นำต้องรู้ตนเองอย่าทำอะไรเกินความสามารถ ประเทศจะได้พัฒนาต่อไปได้
นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ส.ส. เลย กรรมการบริหารและคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยทรุดหนักตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้เตือนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีมาโดยตลอด โดยล่าสุด สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ฯ ได้แถลงว่า หนี้ครัวเรือนไทยได้พุ่งสูงถึง 14.24 ล้านล้านบาทแล้ว เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้ว 5% อีกทั้งหนี้นอกรเะบบพุ่งขึ้นถึง 85,000 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 1.5 เท่าของปี 2562 สภาพัฒน์ยังเป็นห่วงหนี้เสียที่พุ่งสูงขึ้นโดยเฉพาะหนี้เสียของบัตรเครดิตที่มีปริมาณมากขึ้น นอกจากนี้ หนี้เสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียในระบบธนาคารน่าจะพุ่งถึง 2 ล้านล้านบาท ตามที่นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยแสดงความกังวล ทั้งนี้ยังไม่รวมหนี้เสียของธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ซึ่งจะทำให้หนี้เสี่ยงที่จะเป็นหนี้เสียเพิ่มมากกว่านี้มาก

นอกจากนี้ สภาพัฒน์ ยังพูดถึงการว่างงานที่พุ่งสูงถึง 8.7 แสนคน หรือ 2.25% สูงที่สุดตั้งแต่สมัยต้มยำกุ้งปี 2540 หรือสูงที่สุดในรอบ 20 ปี ทั้งนี้ยังไม่นับการว่างงานแฝงอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัญหาหลักคือกลุ่มคนว่างงานนี้จะต้องว่างงานอีกเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้เพราะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้ามาก และอาจจะมีการว่างงานเพิ่มขึ้นอีกจากธุรกิจที่อาจจะต้องปิดตัวลงในอนาคตและเป็นหนี้เสีย รวมถึงนักศึกษาจบใหม่ที่จะหางานทำได้ยากมาก และไม่รู้ว่านักศึกษาจบใหม่อีกกี่ปีมี่จะต้องตกงานกัน

สถานะหนี้สาธารณะของไทยพุ่งขึ้นสูงทะลุ 60% จนต้องขยายเพดานเป็น 70% ประเทศไทยขาดดุลแฝด (Twin Deficit) คือ ขาดดุลการคลังจากการใช้จ่ายของรัฐเป็นจำนวนมากแต่เศรษฐกิจไม่ขยายตัว และขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่เงินตราต่างประเทศไหลออกมากกว่าไหลเข้า แม้การส่งออกจะขยายตัวดี แต่รายได้จากการท่องเที่ยวหดหาย ล่าสุดรัฐบาลขยายเพดานภาระเงินที่ต้องจ่ายให้กับแบงก์รัฐในอนาคตจากไม่เกิน 30% ของวงเงินงบประมาณรายจ่าย เป็น 35% เพื่อจะได้มีช่องกู้เงินได้อีก 1.5 แสนล้านบาท ไปจ่ายให้กับโครงการประกันรายได้ โดยเฉพาะโครงการกันราคาข้าวให้กับชาวนาที่รอเงินจากรัฐบาล ได้เงินช้าเพราะรัฐบาลไม่มีเงิน แสดงถึงการจัดลำดับความสำคัญของเรื่องต่างๆผิดพลาด ทั้งๆที่การช่วยเหลือชาวนาจะต้องอยู่ในอันดันแรกๆ สุดท้ายต้องมาขยายเพดานกันแบบนี้ ซึ่งชาวนาลำบากกันอย่างมากในขณะนี้

สภาวะย่ำแย่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ยังไม่เห็นว่ารัฐบาลจะแก้ไขได้อย่างไร หรืออาจจะยังไม่มีความเข้าใจปัญหาที่แท้จริง การที่ต้องเข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจและต้องมีแนวทางแก้ไขทุกด้านอย่างเป็นระบบเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนหากต้องการจะฟื้นเศรษฐกิจไทยให้กลับมาได้ โดยต้องไม่คิดเพียงแค่จะเติมเงินให้ประชาชน เพียงเพื่อรักษาอำนาจและหาคะแนนเสียงสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าเท่านั้น เศรษฐกิจไทยจะยิ่งย่ำแย่และทรุดลงไปอีก กรณีเรื่องน้ำมันแพง รัฐควรลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลตามคำแนะนำของคณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย แต่ก็ไม่ทำ แถมยังพูดเชิงท้าทายเรื่องนำรถทหารมาวิ่งแทนธุรกิจขนส่งทั้งที่ทหารไม่มีความชำนาญด้านนี้ ซึ่งจะยิ่งทำให้เกิดความไม่พอใจ หรือการให้ทหารปลูกผักชีเพื่อแก้ปัญหาผักชีแพงก่อนหน้านี้แล้ว สะท้อนถึงแนวคิดของผู้นำ ที่ยิ่งจะลดทอนความเชื่อมั่นในสายตาของนักลงทุน และพี่น้องประชาชน สาเหตุหลักของปัญหาของประเทศปัจจุบันคือการมีผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์ และขาดทักษะในการจัดการปัญหา

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะมีนโยบายทางเศรษฐกิจที่ครบทุกด้านและทำได้จริง เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยอย่างยั่งยืนหากได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้


ที่มา...https://www.sanook.com/news/8479622/