ผู้เขียน หัวข้อ: รวบอดีตตำรวจร่วมรุ่น ผบ.ตร.โกงร้านทอง สอบประวัติเคยพัวพันคดีอุ้มฆ่า "เสี่ยติงนัง  (อ่าน 286 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์



กองบังคับการปราบปราม และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกันจับกุมตัว นายธารา หรือ นายครรชิต อายุ 62 ปี ในฐานความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง”

จากพฤติกรรม คือ นายธารา หรือ นายครรชิต กับพวก ได้ติดต่อขอซื้อทองรูปพรรณจากร้านทอง และอ้างจะชำระเงินด้วยการสั่งจ่ายเป็นเช็คธนาคาร โดยผู้ต้องหาขอหมายเลขบัญชีธนาคารของผู้เสียหายไป แล้วออกอุบายแจ้งกับร้านทองให้ทราบว่าเงินเข้าบัญชีแล้ว เมื่อร้านทองตรวจสอบไปที่ธนาคาร ในเวลาดังกล่าว ปรากฏข้อมูลแจ้งว่ามีเงินเข้าบัญชีของทางร้าน ร้านทองจึงได้มอบทองรูปพรรณให้กับผู้ต้องหาไป แต่หลังจากผู้ต้องหาได้ออกจากร้านไป พบว่าไม่มียอดเงินจำนวนดังกล่าวเข้ามาในบัญชีธนาคารของทางร้านแต่อย่างใด




ซึ่งผู้ต้องหาได้อาศัยช่องว่างของการเคลียริ่งเช็คธนาคาร จะปรากฎยอดแจ้งว่ามีเงินเข้าบัญชีดังกล่าว แต่เป็นยอดเงินจากการจ่ายเช็คเคลียริ่ง ไม่ใช่เงินสดแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ร้านทองได้รับความเสียหาย เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร จนพนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นต่อศาลเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาได้

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุมตัว พบว่าผู้ต้องหาได้หลบหนีมาพักอาศัยอยู่ภายในซอยวิภาวดี 40/2 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร จึงได้เฝ้าติดตาม จนพบตัวนายธาราฯ เดินอยู่บริเวณสถานที่จับกุม จึงแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับ

เมื่อตรวจสอบ พบว่านายธาราฯ มีหมายจับที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่อีก จำนวน 1 หมายจับ ความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย โดยในขณะที่ออกเช็คนั้นไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้” จากนั้นจึงนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เมืองมุกดาหาร เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป




สอบประวัติ พบว่าผู้ต้องหามีประวัติการกระทำความผิดหลายคดี และยังเคยเป็นอดีตรอง ผกก.จร. สน.บางรัก และอดีตนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่น 36  เมื่อปี พ.ศ. 2542 ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการหายตัวไปของนายชัยรัตน์ หรือ "เสี่ยติงนัง" พนักงานต้อนรับชาย (สจ๊วต) สายการบินลุฟท์ฮันซ่า ซึ่งในขณะนั้นผู้ต้องหากับพวกได้ร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์ เป็นรถยนต์ยี่ห้อเบนซ์ และยังได้ร่วมกันปลอมตั๋วเงิน โดยการเขียนปลอมลายมือชื่อนายชัยรัตน์ นำไปเรียกเก็บเงินต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร นอกจากนี้ยังร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จกับพนักงานสอบสวน สน.บางรัก รวมทั้งร่วมกันปลอมลายมือชื่อในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านของนายชัยรัตน์ อีกด้วย สุดท้ายได้ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 15 ปี 6 เดือน

หลังจากพ้นโทษออกมาเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2555 ในช่วงปี พ.ศ. 2557-2558 ผู้ต้องหาได้ร่วมกับพวก ฉ้อโกงร้านทอง จำนวนหลายร้าน โดยใช้อุบายทำทีซื้อทองในลักษณะเดียวกัน คืออาศัยช่องว่างของการเคลียริ่งของธนาคาร จนได้ทองคำน้ำหนักหลายร้อยบาท มูลค่าหลายสิบล้านบาท ก่อนจะถูกจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2558

และหลังจากพ้นโทษออกมาในปี พ.ศ. 2565 ได้ตระเวนออกทำความผิดอีกในลักษณะเดิม ในพื้นที่จังหวัดหนองคาย และจังหวัดมุกดาหาร ซึ่งระหว่างที่ผู้ต้องหาได้หลบหนีการประกันตัวในคดีของศาลจังหวัดหนองคาย และก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมในครั้งนี้ เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2565 ยังได้ไปก่อเหตุฉ้อโกงร้านรับแลกเงิน ย่านถนนสุรวงศ์ เขตพื้นที่ สน.บางรัก โดยใช้อุบายหลอกลวงอาศัยช่องว่างของการเคลียริ่งของธนาคารในลักษณะเดิม ได้เงินสดไปอีก 22,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (ประมาณ 800,000 บาท)

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา


ที่มา...https://www.sanook.com/news/8625282/