ผู้เขียน หัวข้อ: กินหวานไม่ดีตรงไหน? มีคำตอบ! ภัยเงียบเสี่ยงสุขภาพเสีย  (อ่าน 685 ครั้ง)

ออฟไลน์ tikky

  • Global Moderator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 1985

กินหวานไม่ดีตรงไหน? มีคำตอบ! ภัยเงียบเสี่ยงสุขภาพเสีย
หลายๆ คนคงจะเคยได้ยินคำถามที่ว่ากินหวานไม่ดีตรงไหน? วันนี้เรามีคำตอบมาบอกกันค่ะ นับว่านี้คงจะเป็นข่าวร้ายสำหรับคนที่ชอบรับประทานอาหารรสหวานหรือบรรดาสาวๆ ที่ชื่นชอบน้ำตาลเป็นชีวิตจิตใจประมาณว่า "เพราะชีวิตนี้ขาดหวามไม่ไ้ด้" คุณรู้หรือไม่ค่ะว่าความหวานที่คุณชื่นชอบนั่นในขณะเดียวกันก็มีภัยอันตรายมากมายที่แฝงอยู่ในนั้น นั่นแหละค่ะที่เขาเรีกว่าภัยเงียบเสี่ยงสุขภาพเสีย เชื่อได้เลยว่าสาวๆ ที่รักในความหวานคงจะตั้งคำถามที่น่าสงสัยว่า กินหวานไม่ดีตรงไหน? วันนี้เราก็เลยไปหาคำตอบของคำถามที่น่าปวดหัวของการ กินหวานไม่ดีตรงไหน? มาเฉลยกันค่ะ ถ้าใครที่อยากรู้คำตอบที่ชัดเจนก็ไม่ควรพลาดเกร็ดน่ารู้ดีๆ ของเราในวันนี้นะค่ะ โดยเฉพาะสาวๆ ที่รักความหหวานต้องอย่าพลาดเพราะบางทีสิ่งที่คุณชอบก็อาจจะนำมาซึ่งความอันตรายแบบที่คุณไม่คาดคิดก็เป็นได้นะค่ะ

 

 
กินหวานไม่ดีตรงไหน? มีคำตอบ!
แต่ที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือ เมื่อได้ตรวจสอบข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขที่เฝ้าติดตามสถานการณ์เกี่ยวกับการบริโภคน้ำตาลของคนไทยทำให้พบว่า ในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อัตราการบริโภคน้ำตาลของคนไทยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเพิ่มเฉลี่ยจากคนละ 12 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2526 กลายเป็นคนละ 29 กิโลกรัมต่อปีในปี พ.ศ.2545 เรียกว่า เพิ่มขึ้นจากเดิมกว่า 2 เท่าตัว ซ้ำร้ายดัชนีที่เกิดขึ้นยังเป็นแนวโน้มเดียวกันกับการบริโภคน้ำตาลในรูปแบบขนม ลูกอม และเครื่องดื่มประเภทต่างๆ ซึ่งปรากฏชัดเจนกับเด็กรุ่นใหม่ที่กระแสบริโภคถูกกระตุ้นโดยการโฆษณา

"จากข้อมูลทางโภชนาการและสุขภาพเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า การบริโภคน้ำตาลที่มากเกินควรนอกจากนำมาซึ่งปัญหาโรคอ้วนและโรคฟันผุแล้วการรับประทานน้ำตาลมากๆ มีอันตรายต่อสุขภาพหลายประการโดยน้ำตาลซูโครสหรือฟรุกโตสจะทำให้ระดับไขมัน กลูโคส อินซูลินและกรดยูริกในเลือดสูงขึ้น เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดและโรคเบาหวาน

ผู้ที่ชอบกินหวานจัดบ่อยๆ จะทำให้ระบบความสมดุลของแร่ธาตุในร่างกายเสียไปส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโรคในร่างกายลดต่ำลงผลที่ตามมาก็คือทำให้ติดเชื้อง่าย นอกจากนี้การเผาผลาญน้ำตาลในร่างกายบ่อยๆ ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดอนุมูลอิสระ เมื่อบริโภคเป็นเวลานานจะก่อให้ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงอีกทั้งการรับประทานน้ำตาลซูโครสมาก ทำให้กรดอะมิโนที่มีชื่อว่า ทริปโตฟาน ถูกเร่งเข้าสู่สมองมากเกินไปทำให้เสียสมดุลของฮอร์โมนในสมอง

 

 

กินหวานไม่ดีตรงไหน

 

 
ผลที่ตามมาก็คือทำให้เกิดอาการเซื่องซึม เหนื่อย ไม่กระฉับกระเฉง ซึ่งหากเป็นในเด็กจะทำให้เรียนไม่รู้เรื่องและหากเป็นวัยทำงานก็จะทำงานไม่มีประสิทธิภาพ" นายแพทย์วัลลภ ไทยเหนือ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขให้ข้อมูลถึงอันตรายจากการบริโภคน้ำตาล เมื่อติดตามพิษร้ายที่เกิดจากความหวานต่อไปก็ทำให้ได้ข้อมูลอีกด้วยว่า การรับประทานอาหารรสหวานมากไปจะทำให้เด็กอิ่มและตัดโอกาสที่เด็กจะได้รับสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย

ผลการศึกษาในปี พ.ศ.2546 พบว่าเด็กกลุ่มอายุ 6-15 ปี ได้รับอาหารที่ให้พลังงานมากถึง 23% สูงกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 10% กว่าเท่าตัว ตรงนี้บ่งชี้ว่า สถานการณ์การกินหวานในเด็กไทยอยู่ในขั้นที่ควรร่วมกันแก้ไขโดยด่วน

"ในความเป็นจริงนั้นการติดหวานสามารถถูกสร้างขึ้นตั้งแต่วัยเริ่มต้นของชีวิตโดยพ่อแม่และผู้ใหญ่เป็นกลุ่มแรกที่สร้างภาวะให้เด็กติดหวาน เนื่องจากบริโภคนิสัยของเด็กจะถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงขวบปีแรกเริ่มจากนมและอาหารเสริมที่ป้อนให้ เมื่อเด็กโตขึ้นเด็กจะติดอาหารหวานและจะเพิ่มปริมาณความหวานมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากคนที่เคยชินรสหวาน เมื่อได้รสหวานสมองจะหลั่งสารชนิดหนึ่งเรียกว่าโอปิออยด์ (Opioid) ออกมาทำให้เกิดความพอใจและอยากกินหวานทำให้อ้วนได้เร็ว

ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุขจะเร่งรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประชาชนในเรื่องนี้อย่างจริงจังโดยเริ่มจากส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่แทนนมขวด พร้อมทั้งจะมีการประกวดโรงพยาบาลปลอดนมขวดทั่วประเทศ ส่งเสริมให้เด็กกินนมรสจืดแทนนมรสหวานหรือนมปรุงรสส่งเสริมให้เด็กกินผลไม้ที่รสไม่หวานแทนการกินขนมหวานและรณรงค์ให้งดการเติมน้ำตาลในก๋วยเตี๋ยว อีกทั้งให้งดการดื่มน้ำอัดลมและอมท๊อฟฟี่ด้วย" ปลัดกระทรวงสาธารณสุขสรุปแผนการรณรงค์เพื่อให้เด็กไทยรอดพ้นจากการบริโภคความหวานมากเกินไปทิ้งท้าย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก สสส. ขอขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต