ผู้เขียน หัวข้อ: สธ. เตือนโรคตาแดงระบาดช่วงหน้าฝน รอบ 8 เดือนปีนี้ ขณะนี้พบแล้วกว่า 100,000 ราย  (อ่าน 401 ครั้ง)

ออฟไลน์ Por-MedTech

  • Global Moderator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 1192
    • อีเมล์
สธ. เตือนโรคตาแดงระบาดช่วงหน้าฝน รอบ 8 เดือนปีนี้ ขณะนี้พบแล้วกว่า 100,000 ราย


          กระทรวงสาธารณสุข เตือนประชาชนระวังป่วยโรคตาแดงช่วงหน้าฝน รอบ 8 เดือนปีนี้พบป่วยแล้ว 115,255 ราย เกือบครึ่งเป็นเด็กเล็กและวัยเรียน ยอดป่วยสูงเกือบเท่าปี 55 ทั้งปี ชี้โรคนี้ติดต่อกันง่ายทางมือ แนะวิธีการป้องกัน ให้ล้างมือบ่อยๆ คนที่ป่วยแล้วควรหยุดพักงาน หยุดเรียนอย่างน้อย 3 วัน งดลงเล่นน้ำในสระ
          นายแพทย์ณรงค์  สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงนี้ฝนตกชุกเกือบทุกภาค บางพื้นที่มีน้ำท่วมขัง และพบว่าโรคตาแดงจากเชื้อไวรัสมักระบาดในช่วงนี้ เนื่องจากสภาพอากาศที่ชื้น แฉะ เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัส และติดต่อกันง่ายมาก ข้อมูลสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ในปี 2557 นี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 18 สิงหาคม ทั่วประเทศมีผู้ป่วยแล้ว 115,255 ราย ซึ่งสูงเกือบเท่าปี 2555 ตลอดปีที่มี 118,882 ราย พบผู้ป่วยทุกวัย เกือบครึ่งเป็นเด็กเล็กและวัยเรียน คาดว่าผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้นตลอดฤดูฝนปีนี้ ได้เน้นย้ำให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด ประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรคตาแดง โดยเฉพาะตามโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก ที่ทำงาน ห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก รวมทั้งในพื้นที่น้ำท่วม เนื่องจากมีปัญหาขาดแคลนน้ำสะอาด และความสกปรกของน้ำที่ท่วมขัง
                 ด้านนายแพทย์ฐาปนวงศ์  ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า กล่าวว่า  ในช่วงนี้ มีผู้ป่วยตาแดงไปรักษาที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าจำนวนมาก ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ โดยโรคตาแดงจากไวรัสที่ระบาดอยู่ในขณะนี้มี 2 ลักษณะ คือ1.โรคตาแดงที่เกิดพร้อมกับไข้หวัด โดยจะมีอาการตัวร้อน คัดจมูก น้ำมูกไหล เจ็บคอ คออักเสบ ต่อมน้ำเหลืองที่หน้าหูปวดบวม นำมาก่อน จากนั้นภายใน 2 วันจะมีอาการตาแดงตามมา บางรายอาจมีจุดเลือดออกที่ตาขาวด้วย และ2.โรคตาแดงที่เกิดรุนแรงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีอาการอื่นๆ มาก่อน มักมีประวัติพบคนที่เป็นตาแดงหรือคนใกล้ชิดเป็นตาแดงมาก่อน ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักจะติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำ ทำให้มีขี้ตามาก และเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว มักเริ่มเป็นที่ข้างใดข้างหนึ่งก่อน และลามไปเป็น 2 ข้างอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน บางรายอาจมีตาดำอักเสบ ทำให้เคืองตามาก และมีแผลที่ตาดำชั่วคราวได้
          โรคนี้ติดต่อกันง่าย เนื่องจากเชื้อไวรัสจะอยู่ในสิ่งสกปรก น้ำตา ขี้ตาของผู้ที่เป็นตาแดง เชื้อไวรัสจะตายเมื่ออยู่ในที่แห้งภายใน 30 นาที การติดต่อมี 3 ลักษณะ คือ 1.จากมือที่ไปสัมผัสน้ำตา ขี้ตาผู้ป่วยตาแดงที่ติดอยู่ตามสิ่งของ พื้นผิวต่างๆ ขณะที่ยังไม่แห้ง เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โต๊ะทำงาน แป้นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ ราวรถเมล์ เป็นต้น แล้วมาสัมผัสที่ตา หรือใช้ของส่วนตัวร่วมกันกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว เป็นต้น 2.จากแมลงหวี่แมลงวัน ที่ตอมสิ่งสกปรกหรือตอมตาของผู้เป็นตาแดงแล้วไปตอมตาคนอื่นต่อ และ3.เด็กที่ลงเล่นในน้ำท่วมขังซึ่งน้ำจะมีความสกปรกสูง ทั้งนี้ในการป้องกันโรคตาแดง ขอให้ล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงการใช้มือแคะ แกะ เกาหน้า ขยี้ตา ไม่ลงเล่นน้ำท่วม หากจำเป็นขอให้รีบอาบน้ำให้สะอาดทันทีหลังขึ้นจากน้ำ ส่วนผู้เป็นโรคตาแดง ขอให้งดลงสระว่ายน้ำจนกว่าจะหาย เพื่อป้องกันเชื้อแพร่กระจายในน้ำ
          นายแพทย์ฐาปนวงศ์กล่าวต่อว่า โรคตาแดงที่เกิดจากเชื้อไวรัส จะไม่มียารักษาโดยเฉพาะ ใช้การรักษาตามอาการ คือใช้ยาหยอดตาเพื่อลดอาการระคายเคือง ถ้ามีขี้ตามากสีเหลืองหรือเขียวแสดงว่าติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย จะต้องใช้ยาหยอดตาปฏิชีวนะ ซึ่งหากใช้ยา 2 อย่างร่วมกันจะต้องเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 5 นาทีเพื่อไม่ให้ยาล้างกัน แต่หากหยอดยาปฏิชีวนะแล้วมีตาแดงมากขึ้นหรือหนังตาบวมแดงให้หยุดยา และนำยามาปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรว่าแพ้ยาหรือไม่  ที่สำคัญคือต้องหยุดเรียน หรือหยุดงานอย่างน้อย 3 วัน พักผ่อนให้มากๆ และพักการใช้สายตา ส่วนใหญ่อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากยังมีอาการระคายเคืองเหมือนมีทรายเข้าตา ตามัว แสดงว่าอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่สำคัญคือกระจกตาอักเสบ ตาดำอักเสบ หรือม่านตาอักเสบ ขอให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจอย่างละเอียดและให้การรักษาอย่างเหมาะสม
          “ขอแนะนำว่า ประชาชนสามารถดูแลรักษาโรคตาแดงด้วยตนเองในเบื้องต้นได้ โดยซื้อยาหยอดตาจากร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้าน หรือไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน ขอย้ำว่าอย่าไปซื้อยาหยอดตาที่ไม่รู้แหล่งที่มา โดยเฉพาะยาหยอดตาที่อ้างว่าเป็นยาสมุนไพร หรือใช้น้ำนมหยอดตา เพราะไม่สามารถฆ่าเชื้อได้ และอาจมีเชื้อโรคทำให้ตาอักเสบถึงขั้นตาบอดได้” นายแพทย์ฐาปนวงศ์กล่าว



**********************************
ที่มา : http://www.moph.go.th/moph2/index4.php