ผู้เขียน หัวข้อ: อาการแบบไหนที่ควร "ตรวจภายใน"  (อ่าน 1125 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์
อาการแบบไหนที่ควร "ตรวจภายใน"
« เมื่อ: ตุลาคม 31, 2020, 10:20:15 am »



เรื่องของอาการผิดปกติต่ออวัยวะภายในร่างกาย เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าภายนอก ดังนั้นในหลายๆ ครั้งกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคร้ายอันตราย ก็อาจจะมีอยู่ในขั้นรุนแรงจนทำให้การรักษาเป็นไปด้วยความยากลำบากได้ โดยเฉพาะคุณผู้หญิงกับการ “ตรวจภายใน” ที่หลายคนไม่กล้าเข้ารับการตรวจเพราะเขินอาย แต่จริงๆ แล้วการตรวจภายในมีประโยชน์มาก เพราะสามารถตรวจพบความผิดปกติในการทำงานของระบบสืบพันธุ์เพศหญิงได้

ทำไมต้องตรวจภายใน?

จากข้อมูลของโรงพยาบาลสมิติเวช ระบุว่า อวัยวะภายในของผู้หญิงมีความซับซ้อนและเป็นระบบปิด ซึ่งอาจถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอก และส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การมีเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์และการคลอด และยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคและความผิดปกติต่างๆ ภายในอวัยวะสืบพันธุ์ได้อีกด้วย

อาการแบบไหนที่ควรตรวจภายใน

ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไร หากมีอาการผิดปกติดังต่อไปนี้ ควรเข้ารับการตรวจภายในทันที

         - มีประจำเดือนมามากหรือน้อยผิดปกติ รอบเดือนนานกว่า 35 วันหรือสั้นกว่า 21 วัน ประจำเดือนมากะปริดกะปรอย มีลิ่มเลือดปน มีกลิ่นเหม็น
         - ตกขาวผิดปกติ มีปริมาณมาก มีสี กลิ่นที่ผิดปกติ มีตกขาวเป็นมูกข้นคล้ายแป้ง มีสีเขียวหรือเหลือง และเริ่มส่งกลิ่นแรงขึ้น
         - มีเลือดออกจากช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจำเดือน
         - ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย ทั้งในช่วงที่มีประจำเดือนและไม่มีประจำเดือน
         - รู้สึกแสบขัดในช่องคลอด
         - สงสัยว่ามีก้อนหรือคลำพบก้อนที่ท้องน้อย

นอกจากนี้ หากไม่มีอาการผิดปกติ บุคคลเหล่านี้ควรเข้ารับการตรวจภายในเช่นกัน ได้แก่

         - ผู้หญิงที่มีอายุ 21 ปีขึ้นไป
         - ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเอามดลูกออก
         - ผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก HPV  ยังคงต้องเข้ารับการตรวจภายในและคัดกรองมะเร็งปากมดลูกสม่ำเสมอ  หรือตามแพทย์นัด 
         - ผู้ที่ตรวจพบโรคติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือความผิดปกติอื่นๆ
         - ผู้หญิงที่มีบุตรยาก และผู้หญิงที่เริ่มตั้งครรภ์ รวมถึงผู้ที่จะเริ่มคุมกำเนิด

เตรียมตัวอย่างไร ก่อนตรวจภายใน

         - งดมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการใช้ยาเหน็บในช่องคลอด หรือสวนล้างช่องคลอด ก่อนเข้ารับการตรวจประมาณ 24-48 ชั่วโมง
         - หลีกเลี่ยงการตรวจในช่วงที่มีประจำเดือน และควรรอให้ประจำเดือนหมดสนิท 2-3 วัน หรือก่อนที่จะมีประจำเดือนในรอบถัดไปประมาณ 1 สัปดาห์จึงจะมาตรวจ เพราะการตรวจในช่วงที่มีประจำเดือนจะทำได้ยาก และอาจทำให้ผลคลาดเคลื่อนได้ แต่หากมีเลือดออกทางช่องคลอดทุกวัน สามารถพบแพทย์เพื่อตรวจภายได้เลย ไม่ต้องรอเลือดหยุด
         - ควรปัสสาวะออกให้หมด แพทย์จะได้คลำขนาดมดลูกและปีกมดลูกได้
         - ไม่ปิดปังข้อมูลกับแพทย์ เช่น เป็นโสดแต่อาจมีเพศสัมพันธ์ วิธีการที่ใช้ในการคุมกำเนิด การทำแท้ง หรืออาการผิดปกติที่อาจเกี่ยวข้องกับระบบสืบพันธุ์ รวมถึงประวัติการแพ้ยา

ขั้นตอนการตรวจภายใน

         - เปลี่ยนไปใส่ชุดคลุมที่โรงพยาบาลเตรียมไว้ให้
         - ขึ้นนอนบนขาหยั่ง และแยกขาออกให้กว้าง เพื่อให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะกับการตรวจ
         - แพทย์จะเริ่มตรวจดูอวัยวะเพศภายนอก เพื่อตรวจหาความผิดปกติต่างๆ
         - จากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องมือแพทย์ที่มีลักษณะคล้ายปากเป็ดแบนๆ ขนาดเล็ก 2 อันสอดเข้าไปในช่องคลอด เพื่อขยายออกให้เห็นปากมดลูก และอาจสอดลึกเข้าไปเพื่อเก็บเซลล์ที่ปากมดลูก เพื่อส่งตรวจหาความผิดปกติต่อไป
         - สำหรับผู้ที่แต่งงานแล้ว แพทย์อาจใช้นิ้วสอดเข้าไปในช่องคลอด และใช้อีกมือหนึ่งคลำที่บริเวณหน้าท้อง เพื่อตรวจว่ามดลูกโตหรือมีก้อนเนื้อที่ผิดปกติหรือไม่
         - เมื่อตรวจเสร็จ แพทย์จะสามารถแจ้งผลได้ทันที ยกเว้นการเก็บเซลล์ปากมดลูกเพื่อคัดกรองมะเร็งปากมดลูก อาจจะต้องรอผลจากห้องแล็บประมาณ 1 สัปดาห์

ประโยชน์ของการตรวจภายใน

หากเข้ารับการตรวจภายใน จะสามารถพบความเสี่ยงของการเป็นโรคเหล่านี้ได้ (ซึ่งหากไม่เข้ารับการตรวจภายใน จะไม่ทราบว่าเป็นโรคเหล่านี้)

         - มะเร็งปากมดลูก
         - มะเร็งรังไข่
         - ช็อกโกแลตซีสต์
         - เนื้องอกในมดลูก
         - เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ทำให้มีปัญหามดลูกโต เกิดพังผืดในอุ้งเชิงกราน หรือบางคนก็ประจำเดือนมามากจนซีด ส่งผลให้ปวดท้องประจำเดือน รวมถึงปวดท้องน้อยเรื้อรัง


ที่มา...https://www.sanook.com/health/25845/