ผู้เขียน หัวข้อ: ร้องไห้จนทรุด หนุ่มแต่งงาน 16 ปี เพิ่งรู้ลูก 3 คนไม่ใช่ลูกตัวเอง ฟังเมียพูดพล่อย  (อ่าน 1373 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์



เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในซ่างเหรา มณฑลเจียงซี ประเทศจีน ชายวัยกลางคนมองดูเอกสารผลตรวจ DAN ในมือแล้วตัวสั่นด้วยความโกรธ เมื่อพบว่าลูกสาวทั้งสองคนไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือกกับตนเอง หลังจากที่รู้ก่อนหน้านี้ว่าลูกสาวคนเล็กไม่ใช่ลูกของตนเอง ซึ่งหมายความว่าเขาถูกภรรยาทรยศมานานกว่าทศวรรษโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2550 เมื่อตอนที่นายหลี่ (นามสมุมติ) อายุ 30 ปี ได้รู้จักกับหญิงสาวแซตู (นามสมุมติ) และแต่งงานกันในปี 2552 ต่อมาเธอให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารัก เมื่อครอบครัวมีสมาชิกเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่ารายจ่ายก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ดังนั้น เขาจึงต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาเลี้ยงทั้งครอบครัว ตัดสินใจย้ายไปทำงานในเมือง และกลับมาบ้านทุกๆ สองสามเดือนเพื่อประหยัดเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีลูกสาวคนที่สอง และคนที่สามตามมา

16 ปีผ่านไป ชีวิตของภรรยาและลูกๆ ที่อยู่ในบ้านเกิดดีขึ้นเรื่อยๆ เขายังซื้อสมาร์ทโฟนให้ภรรยาด้วย โดยบอกว่าในอนาคตเขาจะได้สามารถวิดีโอคอลเพื่อช่วยคลายความคิดถึงลูกๆ และคนที่บ้านได้ อย่างไรก็ตาม หลังจากเปลี่ยนมาใช้การสื่อสารผ่านสมาร์ทโฟนได้ไม่นาน เขาก็เริ่มพบความปิดปกติของภรรยามากขึ้นเรื่อยๆ หลายครั้งในขณะที่คุยโทรศัพท์จู่ๆ ก็วางสาย หรือแสดงอาการไม่อยากคุย ในตอนแรกเขาคิดว่าภรรยายุ่งอยู่กับการดูแลลูกๆ แต่สถานการณ์กลับแย่ลงเรื่อยๆ บางครั้งเธอไม่รับโทรศัพท์ของสามีด้วยซ้ำ

นายหลี่อดสงสัยไม่ได้ว่าภรรยามีความสัมพันธ์กับชายอื่นหรือไม่ ไม่เช่นนั้น เธอจะเบื่อหรือรังเกลียดเขามากขนาดนี้ได้อย่างไร? แต่เมื่อคิดอีกครั้งว่าพวกเขามีลูกด้วยกัน 3 คนแล้ว แม้ว่าสามี-ภรรยาจะหมดรักต่อกัน แต่ก็ยังควรทำหน้าที่พ่อแม่ที่ดี และไม่ควรมีการล่วงประเวณีเกิดขึ้น ดังนั้น แทนที่จะคาดเดาอย่างบ้าคลั่ง วิธีที่ดีที่สุดคือหาหลักฐาน ในเดือนมีนาคม พ.ศ.2565 นายหลี่จึงแอบกลับมาที่บ้านเกิดอย่างเงียบๆ และติดตามตำแหน่ง GPS พบโทรศัพท์มือถือของภรรยา

จนกระทั่งวันหนึ่งเครื่องระบุตำแหน่งโทรศัพท์มือถือของภรรยาปรากฏที่โรงแรมแห่งหนึ่งในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน แต่เมื่อตามไปก็ไม่พบตัวแบบจังๆ ทำให้เขายังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่เช้าวันรุ่งขึ้นในขณะที่เขากำลังงีบหลับอยู่นั้น ก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงหัวเราะที่คุ้นเคย แต่ข้างๆ ภรรยาของเขากลับมีผู้ชายอีกคนหนึ่งมาด้วย เมื่อเธอเห็นเขาก็รีบสะบัดมือชายคนนั้นออกทันที แม้ว่าเขาจะโกรธมากกับภาพที่เห็น แต่ก็พยายามควบคุมอารมณ์และเริ่มถามหาความจริงอย่างใจเย็น




โดยที่ไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ภรรยาก็บอกว่าเธอต้องการหย่าร้าง และขอให้เขาเลี้ยงดูลูกสาวคนที่สองด้วยตัวเอง แน่นอนว่าเขาไม่เห็นด้วย และเริ่มสงสัยว่าทำไมภรรยาถึงทิ้งลูกสาวคนกลางไว้กับเขา และก็มีคำตอบที่น่ากลัวเข้ามาในหัว เป็นไปได้ไหมว่าลูกคนแรกและลูกคนสุดท้องไม่ใช่ลูกของเขา? ดังนั้น เขาจึงรีบพาลูกสาวคนเล็กไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจ DNA และผลก็ออกมาตามที่คาดไว้ ลูกสาวคนเล็กไม่ใช่ลูกทางสายเลือดของเขา

นายหลี่รู้สึกเหมือนโลกกำลังพังทลายต่อหน้าต่อตา และในขณะเดียวกัน เขาก็เริ่มระแวงในตัวลูกสาวอีกสองคน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงพาเด็กๆ ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจ DNA และผลลัพธ์ก็ออกมาชัดเจนว่า เด็กทั้งสามคนไม่ได้มีสายเนื้อเชื้อไขของเขาเลย ซึ่งลูกสาวคนแรกอายุ 15 ปี กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เพียงหนึ่งปีหลังจากที่ทั้งสองแต่งงานกัน ภรรยาก็คบชู้แล้ว

“ตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ผมออกไปทำงานข้างนอกเพื่อหาเงินมาเลี้ยงภรรยาและลูกๆ แต่เธอแค่สนุกกับผู้ชายคนอื่นเท่านั้น ผมแค่โกรธตัวเองเพราะโง่มาหลายปี”

เมื่อชีวิตครอบครัวแตกสลาย เขาต้องการฟังคำอธิบายให้เขาฟัง แต่เธอไม่ต้องการมาพบเจอกัน ดังนั้นเขาจึงต้องขอความช่วยเหลือจากนักข่าว อย่างไรก็ดี ระหว่างที่นักข่าวพยายามเข้าไกล่เกลี่ย นางตูรู้เรื่องที่สามีแอบพาลูกๆ ไปตรวจ DNA ก็โกรธมากและถามว่า "จะทำอย่างไรถ้ารู้ว่าพวกเธอไม่ใช่ลูกทางสายเลือด? สายเลือดมีความสำคัญแค่ไหน? ท้ายที่สุดแล้วลูกๆ ก็เรียกเขาว่าพ่อมาสิบปีแล้ว ถ้าเขาไม่ยอมรับลูกๆ เขาก็ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชาย”

สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจระบายความโกรธลงกับพ่อของสามี เพราะรู้ว่านอนติดเตียงมาหลายปีเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง คืนนั้นเธอจึงชักชวนชู้รักไปจุดดอกไม้ไฟ 36 ดอก ที่บริเวณใกล้ๆ หน้าต่างบ้านพ่อสามี และก็ได้ผลเมื่อเสียงระเบิดดังสนั่นทำให้คนบนเตียงกลัวจนหายใจไม่ออก แต่โชคดีที่มีคนเรียกรถพยาบาลช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทัน

เมื่อนายหลี่รู้ถึงพฤติกรรมของภรรยา เขาก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเพราะรู้สึกว่าสวรรคไม่ยุติธรรม พร้อมกันนี้ยังคงหวังว่าสื่อจะมอบความยุติธรรมให้กับเขาได้ “ผมยอมเลี้ยงลูกต่อทั้งที่รู้ความจริงแล้ว ผมแค่หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะตระหนักถึงพฤติกรรมที่ผิดของเธอ ไม่เย่อหยิ่งและแสดงพฤติกรรมแย่ๆ ต่อหน้าลูกๆ ของเธอ”




ที่มา...https://www.sanook.com/news/8999398/