ผู้เขียน หัวข้อ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนโรคพิษสุนัขบ้าเป็นแล้วตาย 100%  (อ่าน 820 ครั้ง)

ออฟไลน์ Por-MedTech

  • Global Moderator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 1192
    • อีเมล์

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนโรคพิษสุนัขบ้าเป็นแล้วตาย 100%



       กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตือนประชาชนระวังโรคพิษสุนัขบ้า หากได้รับเชื้อและแสดงอาการ เสียชีวิตทุกราย แนะฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรค พร้อมเผยกรมวิทย์ฯ ยกเลิกการตรวจพิษสุนัขบ้าในสุนัขมานานแล้ว แต่ยังให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคในคนต่อไป

       นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า โรคพิษสุนัขบ้า หรือโรคกลัวน้ำ ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากสัตว์สู่คน โดยมีเชื้อเรบีส์ไวรัส (Rabies virus) เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งในประเทศไทยจะพบมากในสุนัขและแมว ขณะที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เช่น ลิง กระรอก หนู โค กระบือ ก็สามารถเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เช่นกัน ซึ่งเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าสามารถติดต่อสู่คนได้โดยถูกสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้ากัด ระยะเวลาที่เชื้อไวรัสเข้าสู่ร่างกายจนแสดงอาการส่วนใหญ่ใช้เวลาประมาณ 2-8 สัปดาห์ แต่อาจสั้นเพียงแค่ 7 วันหรือยาวเกินกว่า 1 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น ความรุนแรงของบาดแผล ปริมาณของเชื้อที่ได้รับ และโรคนี้สามารถเกิดได้ตลอดทั้งปีไม่ใช่เฉพาะหน้าร้อน อาการของโรคมักเป็นการอักเสบของสมองและเยื่อสมอง 2-3 วันแรกผู้ป่วยจะปวดเมื่อยตามตัว มีไข้ ชา เจ็บเสียวหรือปวดบริเวณรอยแผลที่ถูกกัด คันอย่างรุนแรงที่แผลและลำตัว อาการของผู้ป่วยจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ กลุ่มแรกแบบคลุ้มคลั่ง อาจมีอาการกระวนกระวาย ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติ ประสาทหลอน อาจมีชัก หายใจหอบ หมดสติและเสียชีวิตในที่สุด   และกลุ่มที่ 2 แบบอัมพาต เป็นอาการที่พบได้น้อย โดยมีอาการอัมพาตของแขน ขา พูดไม่ชัด น้ำลายมาก มีอาการกลัวน้ำ กลัวลม พบได้ประมาณร้อยละ 50 หลังแสดงอาการจะอยู่ได้นานกว่าแบบคลุ้มคลั่งและจะเสียชีวิตในที่สุด ดังนั้นเมื่อถูกสุนัข แมว หรือสัตว์อื่นๆ กัด ให้ล้างแผลด้วยน้ำและสบู่ให้ถึงก้นแผล แล้วล้างสบู่ออกให้หมดและใส่ยาฆ่าเชื้อจะช่วยลดอัตราเกิดโรคได้ถึงร้อยละ 80-90 จากนั้นให้รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเพื่อรับการฉีดวัคซีนป้องกันโรค ปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถรักษาโรคพิษสุนัขบ้าได้ ถ้าคนหรือสัตว์ที่ได้รับเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าและแสดงอาการแล้วจะเสียชีวิตทุกราย แต่สามารถป้องกันโรคได้ด้วยวัคซีน ดังนั้นผู้มีโอกาสสัมผัสสัตว์ หรือสัตว์เลี้ยงที่บ้านควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าตามโปรแกรมที่กำหนด ซึ่งตาม พ.ร.บ.โรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ.2535 กำหนดให้ลูกสุนัขทุกตัวต้องได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคตั้งแต่อายุ 2-4 เดือน และฉีดซ้ำทุกปีหรือตามที่สัตวแพทย์กำหนด ผู้ใดฝ่าฝืนต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท และต้องห้อยเหรียญแสดงการฉีดวัคซีนด้วย

       อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวอีกว่า ห้องปฏิบัติการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าในคน ที่สงสัยป่วยด้วยโรคพิษสุนัขบ้า ด้วยเทคนิค  3 วิธี ได้แก่ วิธี Fluorescence Antibody Technique (FAT) ใช้ตัวอย่างเนื้อสมอง อย่างน้อย 5 มิลลิกรัม และเซลล์กระจกตาที่แตะบนกระจกสไลด์สะอาด 2 จุด วิธีที่ 2 Cell Isolation ตรวจในตัวอย่างเนื้อสมองอย่างน้อย 5 มิลลิกรัม น้ำไขสันหลัง 3 มิลลิลิตร น้ำลาย 5-10 มิลลิลิตร ปัสสาวะ 10-20 มิลลิลิตร และเทคนิคสุดท้ายคือ Nested RT-PCR สามารถตรวจได้ทั้งในตัวอย่างเนื้อสมอง น้ำไขสันหลัง น้ำลาย ปัสสาวะและเซลล์กระจกตา (ปริมาตรเท่ากับการเก็บตัวอย่างตรวจด้วยวิธีที่ 1 และ 2) เก็บตัวอย่างใส่ในหลอดบรรจุตัวอย่างที่สะอาด แล้วติดฉลาก ชื่อ นามสกุล ผู้ป่วยที่ข้างหลอดบรรจุตัวอย่าง นำหลอดบรรจุตัวอย่างใส่ในถุงพลาสติกกันน้ำ มัดถุงให้แน่นใส่ในภาชนะเก็บความเย็นที่บรรจุน้ำแข็ง กรอกประวัติและอาการของผู้ป่วยที่ตรวจพบ และวันที่เก็บตัวอย่างให้ชัดเจนในแบบฟอร์มนำส่งตัวอย่าง รีบนำส่งห้องปฏิบัติการทันที หากไม่สามารถนำส่งได้ทันที ให้เก็บไว้ในตู้เย็นอุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส

       นอกจากนี้ยังให้บริการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคพิษสุนัขบ้าในคน กรณีที่ฉีดวัคซีนภายหลังถูกสุนัขหรือสัตว์อื่นๆ กัด หรือฉีดวัคซีนเพื่อการป้องกันโรคแล้วต้องการทราบว่าตนเองมีภูมิคุ้มกันหรือไม่ โดยใช้ตัวอย่างน้ำเหลือง 2 มิลลิลิตร ภายหลังฉีดวัคซีนมาแล้วอย่างน้อย 1 เดือน ทั้งนี้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขได้ปิดให้บริการตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าในสัตว์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2556 ผู้ประสงค์ขอรับบริการตรวจวินิจฉัยโรคพิษสุนัขบ้าและตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อโรคพิษสุนัขบ้าในคน สามารถส่งตัวอย่างตรวจได้ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โทร.0-2589-9855,0-2589-9857 ต่อ 99248


**************************
ที่มา : http://www.moph.go.th/