ผู้เขียน หัวข้อ: สีสันวันเอดส์โลก เอดส์ไทยยังชุกชุม  (อ่าน 243 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์
สีสันวันเอดส์โลก เอดส์ไทยยังชุกชุม
« เมื่อ: ธันวาคม 01, 2014, 07:20:28 am »


กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานสถานการณ์เอดส์ในเมืองไทย ตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พอสรุปสั้นๆแต่ได้ใจความว่า ทิศทางการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

นอกจากทุกวันนี้โรคเอดส์ไม่ได้หนีหน้าสังคมไทยไปไหน ยังน่าสนใจด้วยว่า โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เก่าแก่ที่เคยมีมาก่อนที่โลกนี้จะมีเอดส์ อย่างเช่น ซิฟิลิส หนองในแท้ หนองในเทียม เริม แผลริมอ่อน กระทั่งหูดที่อวัยวะเพศและทวารหนัก ต่างก็รักใคร่คนไทย เกาะติดไม่ยอมห่าง

เฉพาะข้อมูลที่หน่วยงานทางสาธารณสุขของรัฐได้รับรายงาน เมื่อปี 2556 พบว่า ทั่วประเทศมีผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ รวมทั้งสิ้น 33,662 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 52% ต่อประชากร 100,000 ราย

ยังไม่นับตัวเลขที่ตกหล่น หรือไม่ได้มีการบันทึกไว้ในหน่วยงานภาครัฐอีกนับไม่ถ้วน

ผู้ป่วยกลุ่มที่ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์สูงสุด จำนวน 12,038 ราย เป็นผู้ที่มีอายุอยู่ในช่วง 15–24 ปี รองลงมา อยู่ในช่วงอายุ 25–34 ปี นอกจากนี้ยังเป็นผู้ป่วยชายมากกว่าหญิง

จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์สูงสุดของประเทศ คือ ภูเก็ต (73.93 ต่อประชากรแสนคน) รองลงมา คือ ตราด ระยอง พิษณุโลก เชียงใหม่ จันทบุรี เฉพาะเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง เชียงใหม่ มีอัตราผู้ป่วยถึง 38.58 ต่อประชากรแสนคน

ในจำนวน 33,662 ราย ป่วยเป็น โรคหนองใน 6,731 ราย หูดขึ้นที่อวัยวะเพศและทวารหนัก 2,491 ราย ซิฟิลิส 2,369 ราย หนองในเทียม 1,981 ราย เริม 1,941 ราย และ แผลริมอ่อน อีก 605 ราย

เฉลิมพล พลมุข แห่งมูลนิธิธรรมรักษ์ วัดพระบาทน้ำพุ ไอดอลของคนทำงานด้านเอดส์ บอกว่า ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า คนไทยจำนวนไม่น้อย หรือประมาณร้อยละ 84 ยังคงมีเพศสัมพันธ์แบบสุ่มเสี่ยง หรือไม่เห็นความสำคัญของการป้องกันระวัง

เขาว่า ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความจริงบางประการของผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

“มันเหมือนกับปัญหาเดิมๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จะต่างไปบ้างก็ตรงที่ปัญหาเอดส์ได้รับการเยียวยา เอาใจใส่ มีการรณรงค์ป้องกันมากขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจทั้งนโยบาย วิธีทำงาน และงบประมาณในรัฐบาลแต่ละยุคด้วย”

เฉลิมพลบอกว่า สถานการณ์ของเอดส์เมื่อประมาณ 15-20 ปีก่อน เมืองไทยมีเด็กติดเชื้อเอชไอวีหลังคลอด ประมาณปีละ 2,000 ราย

เด็กเอดส์เหล่านี้ มีวิถีชีวิตภายนอกแลดูไม่แตกต่างจากเด็กทั่วไป แต่พวกเขาต้องกินยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ และต้องพบแพทย์ตามนัดเป็นประจำ

ปัจจุบัน เด็กและเยาวชนเหล่านั้นกำลังเรียนอยู่ในระดับอาชีวศึกษา และมหาวิทยาลัย บางคนเข้าไปเป็นพนักงานตามโรงงานหรือบริษัทต่างๆ

“ความจริงก็คือ ต้องไม่ลืมว่าเยาวชนเอดส์แต่กำเนิดเหล่านั้น พวกเขายังคงมีเชื้อเอชไอวีอยู่ในตัว สิ่งหนึ่งที่สังคมอาจละเลย ก็คือ หากเขาเหล่านั้นไปมีเพศสัมพันธ์กับแฟนหรือผู้อื่น โดยไม่ได้บอกว่าตัวเองเป็นผู้ติดเชื้อฯ และมิได้ใช้ถุงยางอนามัย เป็นปัญหาน่าคิดว่า ผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้น”

เฉลิมพลบอกว่า ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะตั้งท้องเพื่อมีลูกสืบเผ่าพันธุ์ จริงอยู่ในมุมหนึ่งอาจเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่สังคมอาจตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อพวกเขาเหล่านั้นรู้ตัวดีว่าเป็นผู้ติดเชื้อฯ แล้วทำไมจึงอยากจะตั้งท้องและมีลูกอีก ต่อไปทั้งตัวผู้เป็นพ่อ แม่ และลูกที่เกิดมา จะไม่เป็นภาระของสังคมหรอกหรือ

คำถามที่ว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่วันหนึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ในเมืองไทยจะลดลง ถึงขนาดที่เมืองไทยอาจจะไม่เหลือผู้ติดเชื้อเลยสักราย

เฉลิมพลมองว่า ตราบใดที่การค้าขายบริการทางเพศในสังคมไทย โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติ ยังคงดำเนินไปตามปกติ และนักเที่ยวราตรี ยังสามารถเข้าถึงบริการทางเพศได้อย่างไม่ยากเย็นดังเช่นทุกวันนี้ ซึ่งมีทั้งในรูปการค้าประเวณีแฝงตามซ่อง ผับ บาร์ คาราโอเกะ อาบอบนวด แม้กระทั่งลงเฟซบุ๊กประกาศขายตัวกันโจ๋งครึ่มทางโทรศัพท์มือถือ

เขาบอกว่า คงยากที่จะฝันหวานว่า สักวันเมืองไทยจะไร้โรคเอดส์

“ทุกวันนี้มีวัยรุ่นหญิงไทย ตั้งท้องและคลอดลูกในวัยเรียน เฉลี่ยวันละ 140 ราย ถือว่าเป็นสถิติสูงอันดับต้นของเอเชีย เฉพาะปีนี้ ที่จังหวัดพิจิตรแห่งเดียว มีวัยรุ่นหญิงตามสถานศึกษา อายุ 12–20 ปี ไปคลอดลูกที่โรงพยาบาลถึง 773 ราย โดยเฉพาะผู้ที่กำลังศึกษาตามมหาวิทยาลัยราชภัฏหลายแห่ง มีการตั้งท้องและคลอดลูกระหว่างเรียนเป็นจำนวนมาก”

สาเหตุหนึ่งเป็นเพราะทุกวันนี้ ตามหอพักต่างๆ มีนักศึกษาหลายคู่เลือกใช้ชีวิตแบบเรียนไปอยู่กินกันฉันผัวเมียไปด้วยเป็นจำนวนมาก

ยังไม่รวมถึงการทะเลาะวิวาท แย่งชิงคนรัก อกหัก รักคุด ทำร้ายร่างกายตัวเอง ทำร้ายร่างกายผู้อื่น การทำแท้ง ซึ่งเป็นเหตุให้เยาวชนหญิงหลายคนต้องออกจากระบบการศึกษาไปก่อนเวลาอันควรปีละไม่น้อย

เขามองว่า ปัจจัยเสริมอย่างหนึ่งที่ผลักเร้าให้ปัญหาข้างต้น ขยายตัวเป็นวงกว้าง เป็นเพราะการที่สมัยนี้นักเรียน นักศึกษาหลายราย ไม่ได้อยู่ใกล้สายตาพ่อ แม่ ผู้ปกครอง การต้องจากครอบครัวของตน ออกไปใช้ชีวิตเพียงลำพัง ท่ามกลางวงล้อมของเพื่อนที่มีทั้งดีและไม่ดี บวกกับการใช้ชีวิตอิสระตามหอพัก เป็นเหตุให้ถูกชักจูงนำไปสู่การมั่วสุมทางเพศ และอบายมุขต่างๆอย่างง่ายดาย

นอกจากนี้ การที่สังคมไทยยังมีแหล่งบริการทางเพศแบบเจาะกลุ่มเป้าหมาย และสามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก อย่างเช่น บาร์ผู้หญิง ซึ่งเป็นแหล่งขายบริการทางเพศเฉพาะแขกหรือลูกค้าหญิง มีการกินดื่ม เสพสิ่งเสพติด และมีชายค้าประเวณีไว้บริการเพียบพร้อม

ขณะที่ทางฝั่งผู้ชาย ก็มี บาร์เกย์ ไว้ให้บริการแบบถึงอกถึงใจแก่บรรดาชายรักชาย ซึ่งชอบไม้ป่าเดียวกัน

“จึงไม่น่าแปลกใจ เฉพาะกลุ่มชายรักชาย ใน กทม. ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสะสม ประมาณ 163,000 ราย ยังมีชีวิตอยู่ราวๆ 64,000 ราย เพิ่งพบผู้ติดเชื้อฯรายใหม่เพิ่มอีก 2,300 ราย ร้อยละ 61 ของผู้ติดเชื้อฯรายใหม่ ล้วนเป็นกลุ่มชายรักชายที่มีอายุระหว่าง 17-24 ปี”

เฉลิมพลบอกว่า แม้ทุกวันนี้จะมียาต้านไวรัสเอดส์ให้กิน เพื่อยืดอายุชะลอความตาย แต่ผู้ป่วยจะต้องกินยาตรงเวลา มีวินัยในการไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ บางคนแพ้ยาต้านบางสูตร ก็ต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่

“มีผู้ติดเชื้อบางคนที่กินยาต้านไวรัสมาเป็นเวลานาน เปรยให้ผมฟังว่า จะตายก็ตายไม่ลง จะหายจากเอดส์ก็ไม่ยอมหายสักทีผู้ป่วยที่กินยาต้านฯหลายราย ไปสมัครเป็น รปภ. หรือแม่บ้านตามสำนักงาน และบริษัทต่างๆ โดยปกปิดสถานภาพที่แท้จริงของตนไว้ไม่ให้ใครรู้ แม้จะมียาต้านไวรัสกินเพื่อยืดเวลาตาย แต่เมื่อกลายเป็นผู้ติดเชื้อฯไปแล้ว ยังไงก็หนีไม่พ้นชีวิตจริงที่ขมขื่นอยู่ดี”

“ในโอกาสวันเอดส์โลกปีนี้ พวกเราอยากฝากไปถึงท่านผู้นำว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ล้วนท้าทายรัฐบาลเพื่อรอการปฏิรูป และคืนความสุขให้แก่ผู้ติดเชื้อฯ ไม่ต่างกับการปฏิรูปด้านอื่นที่รอคอยความหวังจากรัฐบาล คสช.” ไอดอลเอดส์ แห่งวัดพระบาทน้ำพุ ทิ้งท้าย.