ผู้เขียน หัวข้อ: แบคทีเรียบริเวณขนในที่ลับสามารถช่วยคลี่คลายปัญหาอาชญากรรมทางเพศได้  (อ่าน 1379 ครั้ง)

ออฟไลน์ webmaster

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 3951
    • อีเมล์



ากงานวิจัยเบื้องต้นพบว่า ลักษณะ DNA ของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในบริเวณขนในที่ลับสามารถที่จะใช้ระบุบุคคลที่ทำการกระทำชำเราทางเพศได้

การศึกษานี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการระดับนานาชาติ Investigative Genetics ซึ่งเป็นครั้งแรกของการค้นพบลักษณะเฉพาะของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณขนในที่ลับ “ทุกๆคนนั้นมักมีบางสิ่งบางอย่างที่มีความพิเศษเฉพาะตัวอยู่เมื่อเทียบกับบุคคลอื่น” Silvana Tridico กล่าว ซึ่งเขาเป็นนักนิติชีววิทยาจาก Murdoch University ในเพิร์ธ ขนหรือผมมักพบอยู่บ่อยๆในเหตุการณ์อาชญากรรม แต่พวกเขาไม่ค่อยได้ผล DNA ของมนุษย์ถ้าพวกเขาไม่ทำการดึงมันออกมาซึ่งทำให้ติดบางส่วนของรากออกมาด้วย ดังนั้น Tridico และทีมวิจัยของเขาใช้เทคนิคที่เรียกว่า metagenomics ในการทำการตรวจสอบโมเลกุล (molecular audit) ของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณขนหรือผมของมนุษย์ที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งของผมหรือขนชนิดนั้น “คุณจะได้ลักษณะ DNA ของแบคทีเรียในพื้นที่นั้น ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของแบคทีเรีย” Tridico กล่าว นักวิจัยทำการตรวจสอบ DNA ของแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บริเวณผิวหนัง และขนในที่ลับของอาสาสมัครจำนวน 7 คน พวกเขาตรวจสอบลักษณะ DNA ในสามเวลาที่แตกต่างกันเป็นเวลากว่าห้าเดือนและค้นพบว่า ตัวอย่างผิวหนังบนผมนั้นมีแบคทีเรียปกติจำนวนมาก แต่ในตัวอย่างขนในที่ลับนั้นมีแบคทีเรียที่ดูเฉพาะเจาะจงมากกว่า “มันมีความพิเศษซึ่งจำเพาะต่อบุคคลนั้นๆ” Tridico กล่าว นั่นแสดงให้เห็นว่า กลุ่มของแบคทีเรียบริเวณขนในที่ลับอาจจะเป็นประโยชน์ในการระบุตัวบุคคลได้ ซึ่งเป็น สัญลักษณ์เฉพาะของแบคทีเรียในแต่ละคน” เธอกล่าว ลักษณะของแบคทีเรียยังสามารถใช้ในการระบุว่าบุคคลคนนั้นเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น ในผู้หญิงจะมี lactobacillus และ gardnerella ในขณะที่แบคทีเรียกลุ่มนี้จะไม่พบในผู้ชายการรวบรวมข้อมูล ข้อมูลที่น่าสนใจมากที่สุดมาจากตัวอย่างขนจากคนสองคนที่เป็นคู่ครองกัน “ตลอดเวลาที่ทำการศึกษา ลักษณะแบคทีเรียของคู่ครองนี้เริ่มมีความคล้ายคลึงกัน” Tridico กล่าว “ตอนเวลาสุดท้าย ฉันคิดว่าฉันได้ทำผิดไป ฉันคิดว่าฉันควรจะมองไปที่ตัวอย่างของผู้หญิงมากขึ้นเป็นสองเท่าเพราะว่า คู่ของเธอนั้นมี lactobacillus ปรากฏขึ้น” เธอกล่าว “แต่หลังจากนั้น ฉันได้ทำการวิเคราะห์ผลซ้ำและได้ข้อมูลเหมือนเดิม” หลังจากนั้น Tridico ได้ถามคู่ครองนั้นซึ่งเป็นคำถามส่วนตัวเกี่ยวกับชีวิตทางเพศสัมพันธ์ของพวกเขาและค้นพบว่า พวกเขาได้มีเพศสัมพันธ์กันก่อนหน้านั้นเป็นเวลากว่า 18 ชั่วโมงก่อนที่จะมีการเก็บตัวอย่างไปวิเคราะห์ การค้นพบนี้แนะให้เห็นว่า แม้ว่าจะปราศจากการแลกเปลี่ยนของขนกัน DNA จากแบคทีเรียบนขนสามารถที่จะแลกเปลี่ยนกันได้ในระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ ถ้างานวิจัยในอนาคตสนับสนุนการค้นพบนี้ Tridico กล่าวว่า “มันอาจจะเป็นไปได้ที่จะตรวจสอบการแลกเปลี่ยนของแบคทีเรียระหว่างเหยื่อและบุคคลต้องสงสัยในคดีข่มขืนได้” “คุณสามารถที่จะตรวจสอบแบคทีเรียในที่ลับของบุคคลทั้งสอง และดูว่าแบคทีเรียเหล่านั้นมีการแลกเปลี่ยนกันหรือไม่ หรือไม่ก็ตัดขนในที่ลับและทำการตรวสอบ DNA แทน” เธอกล่าว “ฉันไม่สามารถเชื่อได้ว่าไม่มีความคิดนี้เกี่ยวกับมันมาก่อนเลย”





ที่มา: http://www.abc.net.au/science/articles/2014/12/16/4149028.htm