ผู้เขียน หัวข้อ: ยิ่งกว่าละคร! เด็กสาวอายุ 15 ถูกเจ้าของรีสอร์ตบังคับขายตัวขัดดอก หลังยืมเงินมา  (อ่าน 278 ครั้ง)

ออฟไลน์ admin

  • Administrator
  • medtech ปี เอก
  • *****
  • กระทู้: 2325
    • อีเมล์



วันนี้(24 เม.ย.65) นางน้อย (นามสมมติ) อายุ 44 ปี ได้พา น.ส.เอ (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ลูกบุญธรรม ซึ่งปัจจุบันเรียนอยู่ชั้น ม.3 ใน อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ออกมาร้องขอความช่วยเหลือผ่านทีมข่าวอีจัน ว่า น.ส.เอ ถูกเสี่ยเจ้าของรีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.ละหานทราย บังคับให้ขายบริการทางเพศ ให้แขกที่เข้ามาพักในรีสอร์ตของตัวเอง เพื่อขัดดอกหลังจากที่น้องไปยืมเงินเสี่ย 6,300 บาท เพื่อนำไปรักษาย่าวัย 70 ปี ที่ป่วยต้องผ่าตัดด่วน เมื่อเด็กไม่ยอมไปรับแขกตามที่สั่ง ก็ขู่ว่าจะแจ้งความที่ยืมเงินแล้วไม่จ่าย ทั้งจะประจานให้อับอาย น้องจึงจำใจต้องทำ โดยไปรับแขกตามที่เสี่ยเจ้าของรีสอร์ตสั่งทั้งหมด 4 ครั้ง จนเด็กทนไม่ไหวแล้วอยากจะหยุด แต่ก็ถูกขู่ไม่มีใครช่วยได้ เพราะเขาอ้างรู้จักตำรวจทั้งโรงพัก

ขณะที่ น.ส.เอ เล่าว่า เมื่อช่วงเดือนมิถุนายน 2564 ตนมีปัญหาในครอบครัวทะเลาะกับพ่อ จนถูกพ่อไล่ออกจากบ้าน ด้วยความน้อยใจจึงไปขออาศัยอยู่กับรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่พักอยู่ในรีสอร์ตแห่งหนึ่ง รุ่นพี่คนดังกล่าวก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จักกับเฮียเจ้าของรีสอร์ต แต่พอตนไปอยู่ด้วยประมาณ 2 สัปดาห์ รุ่นพี่คนดังกล่าวก็มีแฟน แล้วก็ออกไปอยู่กับแฟน ปล่อยให้ตนอยู่ห้องคนเดียว หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วัน ที่รุ่นพี่ไม่อยู่ห้องเฮียเจ้าของรีสอร์ตก็เรียกให้เข้าไปหา โดยเฮียถามว่าสนใจมาดูแลเฮียไหม ซึ่งตนเข้าใจว่าที่เฮียบอกจะให้ไปดูแลคือการไปหุงข้าว ล้างจาน ทำความสะอาดบ้าน หรือไปบีบนวดให้ เพราะเฮียอายุมากแล้ว น่าจะประมาณ 60 ปี ตนไม่ได้คิดว่าจะให้ไปรองรับตัณหาของเฮีย จึงตอบไปว่าขอคิดดูก่อน แต่ตนก็ไม่ได้ไปตามที่เฮียชักชวน

กระทั่งได้กลับไปอยู่ที่บ้าน ต่อมาช่วงเดือนธันวาคม 2564 ย่าอายุ 70 ปี ก็ล้มป่วยต้องผ่าตัดถุงน้ำดีในรังไข่ด่วน แต่ที่บ้านไม่มีเงิน ตนก็เลยโทรไปขอยืมเงินรุ่นพี่ผู้หญิงที่เคยไปขออยู่ด้วย แต่เขาบอกว่าไม่มีเงินให้ยืม แล้วแนะนำให้ลองไปขอยืมเฮียเจ้าของรีสอร์ตดู ตนจึงตัดสินใจไปยืมเงินจากเฮียตามที่รุ่นพี่แนะนำ แล้วเฮียก็บอกให้เข้าไปหาเพื่อให้เซ็นสัญญากู้ยืม โดยให้ตนเขียนเองด้วยลายมือ จากนั้นตนก็นำเงิน 6,300 บาทที่ยืม ไปจ่ายค่ารักษาย่า


น.ส.เอ เล่าต่อว่า ต่อมาช่วงเดือนธันวาคม 2564 เรื่อยมาถึงมกราคม 2565 เฮียก็เรียกตนเข้าไปหาบอกว่าให้มาดูแลเฮียหน่อย ตนก็เข้าใจว่าเฮียไม่สบายต้องการให้ไปหาข้าว หาน้ำให้กิน ตนก็เลยเข้าไปหาที่รีสอร์ต แต่พอไปถึงเฮียก็กระชากแขนลากเข้าห้อง แล้วเฮียก็จับหน้าอก จับก้น และพยายามจะข่มขืน แต่ตนไม่ยอมจึงดิ้นขัดขืนจนสามารถหนีออกมาได้ จึงโทรบอกให้เพื่อนมารับออกไป

หลังจากที่หนีออกมาได้ประมาณ 2 เดือน เฮียก็โทรไปขู่บอกว่าถ้าไม่มาทำงานใช้หนี้ที่ยืมไป จะไปบอกให้ที่บ้านรู้และจะไปแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งการทำงานใช้หนี้คือบังคับให้ตนขายบริการให้กับแขกที่มาพักในรีสอร์ต แต่แขกคนแรกตนนั่งร้องไห้อย่างเดียวจนแขกสงสารจึงไม่ได้ทำอะไร และให้เงินมา 1,500 บาท จากนั้นตนก็หายไปไม่ติดต่อกับเฮียเจ้าของรีสอร์ตอีก จนผ่านไปเกือบเดือนเฮียก็โทรไปขู่อีกว่าถ้าไม่มาทำงานให้ จะไปแจ้งความและประจานให้ที่บ้านรู้ ตนไม่อยากให้ที่บ้านรู้และคิดมาก เพราะย่าป่วยติดเตียง ปู่ก็เป็นอัลไซเมอร์ จึงจำใจต้องไปรับแขกตามที่เฮียสั่งรวมทั้งหมด 4 ครั้ง แต่หนี้ก็ยังคงเหลือ 6,300 บาทเหมือนเดิม กระทั่งเมื่อ 2 – 3 วันก่อนเฮียก็ไลน์มาให้เข้าไปหาอีก แต่ตนไม่อยากทำงานแบบนี้แล้วจึงตอบปฏิเสธไป จึงเล่าเรื่องดังกล่าวให้แม่บุญธรรมทราบ

ด้าน น.ส.น้อย (นามสมมติ) แม่บุญธรรม บอกว่า จากสิ่งที่เด็กเล่าบอกถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากสำหรับเด็กคนหนึ่ง ทั้งยังขู่ว่ารู้จักตำรวจทั้งโรงพัก ตนจึงไม่กล้าพาเด็กไปแจ้งความ เพราะหากเป็นเหมือนที่อ้าง ก็กลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมและกลัวเรื่องความปลอดภัย แต่ที่นำเรื่องออกมาร้องผ่านสื่อเพราะต้องการให้มูลนิธิฯ หรือหน่วยงานที่สามารถช่วยเหลือเด็กได้ เข้ามาช่วยเหลือน้องด้วย ซึ่งเบื้องต้นตนก็ได้พาน้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอก็ให้ยาฆ่าเชื้อ และยาป้องกันติดเชื้อ HIV มารับประทาน ตอนนี้ทั้งสภาพร่างกายและจิตใจของเด็กก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น


ที่มา...https://www.sanook.com/news/8551354/